แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

1101978090 univ lsr lgการเชื่อถือไสยศาสตร์ลึกลับ
     คนที่พยายามทำพิธีที่เรียกกันว่า ไสยศาสตร์ เพื่อจะได้ฤทธิ์แปลกๆ คนเหล่านั้น (อาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) กำลังหาความช่วยเหลือจากปีศาจ การถือวันเวลา เชื่อหมอดู แสดงว่าไม่มีความเชื่อในอำนาจพระเจ้าอย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่แปลกที่บางคนไม่ยอมเชื่อพระวาจาที่มาจากเบื้องบนโดยมีพระเจ้าเองรับรองได้ แต่เขากลับเชื่อคำพูดของหมอดูหรือคำพูดของคนที่เล่าเรื่องแปลกๆ (ที่เป็นเพียงมนุษย์ที่โกงและมีความผิดพลาดได้) อย่างง่ายที่สุด พระบัญญัตินี้สั่งให้เราเชื่อมั่นเลื่อมใสในพระเจ้าสูงสุดเท่านั้นและเคารพนับถือพระองค์ตามที่พระองค์ต้องการ ดังนั้น ในเมื่อรู้จักพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงตั้งเอง ก็ต้องถือตามคำสอนของพระศาสนจักรนั้นเอง หากว่าคนหนึ่งทิ้งพระศาสนจักรหลังจากที่ได้ทราบแล้วว่าเป็นศาสนาของพระเจ้า เขาทำผิดต่อบัญญัตินี้ การที่ไม่ยอมเชื่อข้อความตามที่พระศาสนาจักรเสนอว่าเป็นความจริงที่พระเจ้าทรงไขแสดงนั้นก็เป็นบาปต่อบัญญัตินี้เอง เพราะเท่ากับเป็นการไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าสูงสุด (คนที่ทำบาปชนิดนี้เรียกว่า เฮเรติก) อีกอย่างหนึ่งในเมื่อเราทราบอย่างแน่นอนแล้วว่ามีข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นข้อความจริงที่พระองค์ไขแสดงนั้น บอกว่ายังไม่แน่ใจก็เป็นการดูหมิ่นพระเจ้า เพราะเท่ากับคิดว่าพระเจ้าอาจจะผิดก็ได้ การละเลยหน้าที่ที่จะเรียนรู้พระเจ้าและศาสนาก็เป็บาปผิดต่อพระบัญญัตินี้ด้วยเช่นกัน

     การที่มีคนพยายามใช้อำนาจลึกลับ (ซึ่งหลายคนก็บอกว่าเป็นอานุภาพซึ่งเรายังไม่รู้จักอย่างเต็มที่ แต่ความจริงเป็นการปรากฎของอำนาจของมารปีศาจ) คนที่แสวหาวิธีที่จะให้อำนาจลึกลับนี้ทำสิ่งที่เขาต้องการ เป็นการพยายามที่จะให้อำนาจเหนือธรรมชาติของพระเจ้าทำสิ่งที่มนุษย์ต้องการ คือบังคับพระเจ้าทำสิ่งที่เราต้องการ และไม่ยอมทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ ดังนั้นเป็นการพยายามสู้กับพระเจ้าและชนะพระเจ้า จึงผิดพระบัญญัติประการแรกโดยตรง
     ประเทศไทย (เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในโลก) จำเป็นต้องพูดถึงการเชื่อถือศาสตร์ลึกลับที่ไร้ประโยชน์ มันทำให้หลายคนต้องลำบากเปล่าๆ เกิดความกลัวหรือมีความปรารถนาที่ผิดๆ และทำพิธีอย่างงมงาย เพื่อจะได้ผลตามที่เขาต้องการ ตามพระบัญญัตินั้นคริสชนต้องเชื่อและนมัสการพระเจ้าผู้เที่ยงแท้เท่านั้น การที่มีคนไปหาหมอดูหรือหมอผีเพื่อจะได้รับผลตามที่เขาต้องการเพราะสิ่งที่เขาต้องการนั้นพระเจ้าไม่ให้ ก็เป็นการแสวงหาฤทธิ์ลึกลับของศัตรูของพระองค์ คือไปนมัสการปีศาจ เขากระทำเช่นนี้เพราะเขาไม่พอใจที่จะทำตามน้ำพระทัย บางครั้งมีคนอยากใช้ศาสตร์ลึกลับเพื่อทำสิ่งที่เขาต้องการไม่ว่าผิดหรือถูก ขอสิ่งแบบนี้จากพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระเจ้าจะประทานให้แต่สิ่งทีดีและที่พระองค์พอพระทัยเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งป่วยและรักษาไม่หาย สวดภาวนาก็ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ นี่แสดงว่าพระเจ้ายังไม่ทรงต้องการให้เขาหาย (เราไทราบว่าพระองค์มีแผนการอะไรและหลายครั้งเราไม่สามารถเข้าใจได้) แต่แล้วคนป่วยได้ยินว่ามีหมอผีทำพิธี และหลายครั้งที่คนป่วยอาศัยฤทธิ์ของหมอผีนั้นได้หายจากโรค คนป่วยต้องการหายป่วยเป็นสิ่งธรรมดา ปกติทุกคนต้องการหายป่วยแต่ในเมื่อแนะนำผู้เชื่อฟังให้ไปหาหมอผีแสดงว่าเขาต้องการหายแม้แต่การหายป่วยนั้นเป็นการคัดค้านน้ำพระทัย แม้แต่เมื่อต้องสู้กับน้ำพระทัยพระเจ้าและเมื่อสู้กับพระเจ้าอาศัยพลังของตัวเองไม่ได้ เขาตกลงกับศัตรูของพระองค์และศัตรูนั้นไม่ใช่หมอผีหรอกแต่เป็นปีศาจนั้นเอง ที่ยกตัวอย่างนี้ก็เพราะมีคริสตชนบางคนถูกหลอกด้วยวิธีนี้ไปหาหมอผีหรือหมอดู และผลสุดท้ายเขาทิ้งศาสนาและพินาศไป แม้แต่เมื่อบางครั้งเขาหายจากโรคจริง
     ตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งซึ่งร้ายแรงกว่านี้อีก บางคนต้องการทำอะไรที่ผิดต่อความรักต่อพระและเพื่อนมนุษย์ เช่น โกรธพี่น้อง ต้องการให้เขามีโชคร้าย เจ็บป่วย หรือถึงตาย ขอสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าไม่ได้แน่ และเพื่อให้ความปรารถนาร้ายแรงนี้สำเร็จจึงไปหาหมอผีให้ทำพิธีของมัน หรืออีกคนหนึ่งต้องการโกงคนอื่นหรือขโมยทรัพย์สินหรืออะไรอื่น ๆ ที่ผิดศีลธรรม แน่นอนว่าไม่กล้าไปวอนขอสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าแน่ แต่พวกหมอผีมีวิธีที่จะเสนอให้ทำเพื่อจะสำเร็จความต้องการทุกประการ ส่วนมากพิธีเหล่านี้เป็นการหลอกลวงใจเท่านั้นไม่ได้ผลอะไรเลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำสำเร็จหรือไม่แล้วแต่โชคบังเอิญต่างหาก แต่ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วตามที่ต้องการ ก็บังเกิดความเลื่อมใสและเชื่อถือในพิธีไร้ประโยชน์นั้นเอง
     มีบางคนเชื่อว่า มีวันที่ดีและวันที่มีโชคร้าย และเพื่อจะรู้ว่าวันไหนดีต้องไปปรึกษากับคนที่มีความรู้ในด้านนี้ซึ่งธรรมดาเรียกว่าหมอดู (ถ้าไปตามพระผู้บริการของพระศาสนจักร ท่านจะบอกว่าไม่ทราบพระทุกวันเป็นวันดีทั้งนั้น ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรแสดงว่าไม่ต้องการให้เราถือ) การเลือกสถานที่ก็เช่นเดียวกัน บางคนต้องการทราบว่าต้องฝังศพตรงไหนจึงจะดี และบางครั้งการเชื่อสิ่งเหล่านี้ทำให้บังเกิดความยากลำบากมาก เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น คริสตชนบางคนทำให้คุณพ่อเจ้าวัดต้องลำบากใจมากเหลือเกิน แม้แต่คู่บ่าวสาวที่ต้องการแต่งงานกันแล้วเลือกวันโดยปรึกษาหมอดูไม่ใช่คุณพ่อเจ้าวัด บางคนเมื่อทำพิธีฝังศพไม่พอใจกับสถานที่ซึ่งเจ้าหน้าที่จัดให้เขา เพราะหมอดูบอกไว้ว่าสถานที่นั้นไม่เหมาะหรือต้องการทำพิธีฝังศพในเวลาบ่ายให้ได้ ทั้งที่คุณพ่อเจ้าวัดบอกแล้วว่าท่านว่างตอนเช้า นี่แสดงให้เห็นว่าพวกที่คิดเช่นนี้ไม่ได้เลือกพระเยซูเจ้าเป็นศาสดาหรืออาจารย์ของเขา แต่มีอาจารย์และศาสดาที่คัดค้านคำสอนของพระเยซูเจ้า บอกตามตรงว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้เป็นคริสตชนที่แท้จริง ในการอธิบายพระบัญญัติประการแรกนี้ ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมเน้นห้ามชาวอิสราเอลไม่ให้ทำรูปปฏิมา เพราะพระเจ้าไม่มีรูป พระองค์เป็นจิตล้วน เนื่องด้วยกลุ่มคนรอบข้างชาวอิสราเอลซึ่งนมัสการพระเท็จเทียม พระเจ้าไม่ต้องการให้เขาทำตาม

ที่มา: หนังสือความสว่างที่แท้จริง ซึ่งนำไปสู่ความรอด เล่ม 3