แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako
102__resizeจากการไต่สวนครั้งนี้ เรามองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า
1. พระองค์ทรงไว้ซึ่งความสง่างาม เมื่ออ่านเรื่องราวการไต่สวนของปีลาต (ยน 18:28 - 19:16)  เราจะพบว่าไม่มีตอนใดเลยที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าพระเยซูเจ้ากำลังถูกไต่สวน
พระองค์ไม่ได้แสดงอาการเกรงกลัวหรือออดอ้อนปีลาตเพื่อขอความเมตตาใด ๆ ทั้งสิ้น จนผู้อ่านอดรู้สึกไม่ได้ว่าเป็นพระองค์เองที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ตรงกันข้าม กลับเป็นปีลาตเองต่างหากที่หัวหมุนและต้องดิ้นรนหนีจากความตื่นตระหนกเมื่อต้องอยู่ต่อหน้า “พระบุตรของพระเป็นเจ้า” ซึ่งย้อนถามเขาอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” (ยน 18:34)
นี่คงเป็นเพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อพิพากษามนุษย์โดยแท้ มิใช่ให้มนุษย์มาพิพากษาพระองค์

2. พระองค์ตรงไปตรงมา เมื่อทรงตรัสว่า “อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้  ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ ผู้รับใช้ของเราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบให้ชาวยิว” (ยน 18:36)
ความมุ่งมั่นของชาวยิวที่จะเป็นอิสระจากโรม ทำให้บรรยากาศช่วงปัสการ้อนระอุไปด้วยไฟปฏิวัติ   ปีลาตรู้ปัญหานี้ดีจึงส่งกองทหารเข้ามาเสริมกำลังในกรุงเยรูซาเล็ม  แต่คงมีจำนวนไม่มากนักเพราะเขามีทหารในบังคับบัญชาประมาณสามพันคนเท่านั้น  ไหนจะต้องคงกำลังส่วนใหญ่ไว้ที่ซีซารียาซึ่งเป็นเมืองหลวง  ไหนจะต้องกระจายกำลังไปตามค่ายทหารอีกหลายแห่งในสะมาเรีย  แล้วจะมีทหารเหลือสำหรับติดตามเขาสักกี่คนกัน
หากพระเยซูเจ้าคิดจะชักธงรบ ปีลาตคงไม่มีทางต้านทานกำลังของผู้สนับสนุนพระองค์ได้
แต่พระองค์กลับตรัสตรงไปตรงมาและชัดถ้อยชัดคำว่า อาณาจักรของพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ และพระองค์ไม่ได้พึ่งพากองกำลังจากโลกนี้
เพราะพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีอาณาจักรอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งจะพิชิตและได้มาก็โดยอาศัย “ความรัก” เท่านั้น

3. พระองค์คือความจริง พระองค์ไม่เคยหยุดหย่อนที่จะบอกความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับมนุษย์ และเกี่ยวกับชีวิตแก่เรา
แม้เมื่ออยู่ต่อหน้าปีลาต พระองค์ยังย้ำว่า “เรามาในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง ผู้ใดอยู่ฝ่ายความจริงก็ฟังเรา” (ยน 18:37)
แล้วเราจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน ?

4. พระองค์ทรงเข้มแข็งและอดทน แส้ที่ใช้เฆี่ยนพระองค์เป็นเชือกทำด้วยหนัง มีก้อนตะกั่วเล็ก ๆ และกระดูกแหลมคมติดอยู่เป็นระยะ  มีน้อยคนนักที่ยังคงครองสติไว้ได้หลังถูกเฆี่ยน  บางคนถึงตาย  และหลายคนกลายเป็นบ้า
แต่พระเยซูเจ้าทรงยืนหยัดอยู่ได้จนถึงไม้กางเขน !

5. พระองค์ทรงนบนอบพระบิดา ปีลาตพูดกับพระองค์ว่า “ท่านไม่อยากพูดกับเราหรือ ท่านไม่รู้หรือว่า เรามีอำนาจจะปล่อยท่านก็ได้ จะตรึงกางเขนท่านก็ได้” (ยน 19:10)
เท่ากับปีลาตแบะท่าออกมาแล้วว่าจะปล่อยพระองค์ก็ได้หากพูดกับเขาดี ๆ หน่อย  แต่พระองค์กลับตอบตรงไปตรงมาแบบไม่รักษาน้ำใจของปีลาตเลยว่า “ท่านไม่มีอำนาจใดเหนือเราเลย ถ้าท่านมิได้รับอำนาจนั้นมาจากเบื้องบน” (ยน 19:11)
แสดงว่าพระองค์มิได้ถูกไล่ล่าให้จนตรอกและตายบนไม้กางเขน แต่พระองค์มุ่งหน้าไปสู่ไม้กางเขนอย่างผู้มีชัย
พระองค์ “มีชัย” เพราะได้นบนอบพระบิดาจนถึงที่สุด !

6. พระองค์ทรงรอบรู้ เมื่อปีลาตถามพระองค์ว่ามาจากไหน พระองค์นิ่งเงียบ (ยน 19:9) เพราะทรงทราบดีว่าพูดไปปีลาตก็ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจก็ไม่มีทางยอมรับ  เหมือนพูดกันคนละภาษา
พวกเราจึงต้องระวังอย่างยิ่ง “อย่าให้พระองค์นิ่งเงียบกับเรา” เพราะนั่นหมายความว่าเราออกนอกลู่นอกทางจนกู่ไม่กลับ และพูดกับพระองค์ไม่รู้เรื่องอีกแล้ว

7. พระองค์คือผู้พิพากษา เมื่อถูกชาวยิวข่มขู่ว่าจะฟ้องพระจักรพรรดิหากปล่อยพระองค์เป็นอิสระ ด้วยความกลัวว่าจะกระทบกระเทือนตำแหน่ง ปีลาตจึงสั่งให้นำพระองค์ออกมาข้างนอก ให้นั่งบนบัลลังก์พิพากษาในสถานที่ที่เรียกว่า “ลานศิลากับบาธา” (ยน 19:13)
ไม่ว่าปีลาตจะทำเพื่อหาทางช่วยเหลือพระองค์ หรือเพราะต้องการล้อเลียนด้วยการให้นั่งบนบัลลังก์พิพากษาก็ตาม  สักวันหนึ่งตัวเขาและชาวยิวจะตระหนักดีว่าผู้ที่พวกเขาล้อเลียนนั้นคือกษัตริย์ที่จะพิพากษาพวกเขาจริง ๆ

ในการไต่สวนครั้งนี้ เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ ความสง่างาม ความกล้าหาญ และความเต็มพระทัยรับไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า
ไม่มีครั้งใดอีกแล้วที่ความเป็นกษัตริย์ของพระองค์จะฉายแสงเจิดจ้าเท่าครั้งนี้.... ครั้งที่มนุษย์พยายามจะลดพระเกียรติของพระองค์ด้วยไม้กางเขน !