การภาวนาระหว่างวัน
วันของเราเริ่มต้นขึ้นแล้ว สำหรับเราหลายคน ชีวิตผ่านไปรวดเร็วเหมือนภาพยนตร์เรื่องยาวที่ชื่อ Gone with the Wind (ลอยไปกับสายลม) สำหรับเรา การภาวนาระหว่างวันดูเหมือนไม่มีทางเป็นจริงได้ แต่บางทีเราอาจตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป การภาวนาระหว่างวันอาจต้องทำเป็นช่วงสั้น ๆ และไม่ใช่เป็น “ครึ่งชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์” อย่างที่เราคาดหมาย ถ้าเราตรวจดูอีเมล์ของเราวันละหลายครั้งได้ เราจะเข้าไปหาพระเจ้าวันละหลายครั้งไม่ได้หรือ
เมื่อมองในแง่นี้ การภาวนาระหว่างวันอาจเป็นเหมือนเครื่องหมายวรรคตอนที่ชะลอความเร็วของเราลงสักนิดหนึ่ง เป็นเหมือนเครื่องหมายคำถาม (?) เมื่อเราพบตนเองเผชิญหน้ากับประเด็นสำคัญ เป็นเหมือนเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) เมื่อเราพบสิ่งที่ทำให้พิศวง ประหลาดใจ หรือขบขัน และท้ายที่สุดเป็นเหมือนเครื่องหมายมหัพภาค (.) เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดของวัน พระเจ้าประทับอยู่กับเราตลอดวัน และการภาวนาเป็นระยะจะช่วยเราให้ติดต่อสื่อสารกับพระองค์ นี่คือคำภาวนาแบบ “พูดคุย” ที่กล่าวถึงในบทที่ 5
เบื้องหลังความพยายามทำงานสารพัดให้เสร็จนี้อาจมีความรู้สึกสำรวมจิตลึก ๆ ซึ่งไม่แสดงออกมาเป็นคำภาวนา หรือแม้แต่การคิดเรื่องพระเจ้า แต่เป็นความมั่นใจในส่วนลึกว่าถึงอย่างไรพระเจ้าก็อยู่ใกล้เรา และทุกสิ่งทุกอย่างต้องเรียบร้อย นี่คือการภาวนาแบบ “อยู่กันไป” ที่กล่าวถึงในบทที่ 5 เราดำเนินชีวิตไปเรื่อย ๆ โดยมั่นใจว่าพระเจ้าประทับอยู่ด้วยความเมตตากรุณาเสมือนเป็นฉากหลังของชีวิตเรา เหมือน
กับที่เราสวมเสื้อผ้าในตอนเช้า จากนั้นก็ไม่คิดถึงมันอีก ในทำนองเดียวกัน เราสามารถ (ดังที่นักบุญเปาโล กล่าวใน รม 13:14) “สวม
พระเยซูคริสตเจ้าเป็นอาภรณ์” จากนั้นก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ
ลองทำดู
• ลูกศรภาวนายิงตรงไปที่หัวใจ “พระเจ้าข้า ช่วยลูกด้วย” เป็น
บทภาวนาที่รู้จักกันดี ไม่ว่าเรากำลังจะเข้าสัมภาษณ์งาน หรือพบงานที่ยาก หรือต้องพบทันตแพทย์ “พระเจ้าข้า โปรดช่วยคนนั้นด้วย” เป็นอีกบทหนึ่ง เมื่อคุณพบใครบางคนในฝูงชน และเขากำลังต่อสู้กับความพิการ หรือต้องต่อสู้กับลูก ๆ ที่ดื้อรั้น ขณะที่เราเดินบนถนนใกล้บ้าน เราสามารถภาวนาเพื่อเพื่อนบ้านที่เรากำลังเดินผ่านบ้านของเขาทีละหลัง แม้ว่าเราไม่รู้จักเขาก็ตาม รถพยาบาลที่วิ่งฝ่าการจราจรก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งให้เราภาวนา ลูกศรภาวนาเหมาะสมกับหลากหลายโอกาส สวดได้รวดเร็ว และมีประสิทธิผล
• ความยินดีในสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็นหลายครั้งในหนึ่งวันก็เป็นโอกาสให้เราหันไปหา และขอบพระคุณพระเจ้า เช่น เมื่อได้กลิ่นหอมของกาแฟที่คั่วบดใหม่ ๆ หรือกลิ่นของหญ้าที่เพิ่งตัดเล็ม ภาพของแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านต้นไม้ รอยยิ้มกว้างของเด็กน้อยคนหนึ่ง ความรู้สึกพึงพอใจเมื่อทำงานอย่างหนึ่งสำเร็จลุล่วง เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็นพระพรเหล่านี้ เราจะตระหนักว่าเราได้รับพระพรจากพระเจ้ามากมายอย่างไร จนอาจทำให้เรารู้สึกเมา
• ภราดาลอเรนซ์ เป็นนักพรตชาวฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 17 ผู้มีชื่อเสียงเพราะคำสั่งสอนของเขาให้ “ฝึกรับรู้การประทับอยู่ของพระเจ้า (practicing the presence of God)” เขาทำงานในครัว และอ้างว่าเขาอยู่กับพระเจ้าในครัวได้ไม่ต่างจากที่เขาอยู่ในวัดน้อย เขาสอนว่าเราควรฝึกรับรู้จนติดเป็นนิสัยว่าพระเจ้าประทับอยู่กับเรา ซึ่งหมายความว่าให้ชำเลืองมองพระเจ้าระหว่างวัน ให้จำไว้ว่าพระองค์ประทับอยู่กับเรา ให้สำนึกในพระคุณตั้งแต่ที่นี่ และเวลานี้ และให้ทำทุกสิ่งทุกอย่าง “เพื่อพระเจ้า” เมื่อเรารักใคร เราย่อมอยากทำทุกสิ่งทุกอย่าง “เพื่อ” คนที่เรารักไม่ใช่หรือ กับพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำอะไรใหม่ ๆ แต่ควรทำงานที่เราทำอยู่ตามปกติ เพียงแต่ทำไปเพื่อพระเจ้า ด้วยวิธีนี้ เราจะรับรู้ถึงความเป็นจริงของพระเจ้า จนรู้สึกว่าพระองค์อยู่กับเรา เป็นส่วนหนึ่งของสมอง และอารมณ์ของเรา
• เราต้องผูกสวรรค์ และแผ่นดินเข้าด้วยกัน ดังนั้น จึงควรพูดถึง
สิ่งฝ่ายโลกกับพระเจ้าแห่งสวรรค์ ยิ่งสิ่งนั้น “เป็นของโลก” มากเท่าไร ข้าพเจ้ายิ่งคิดว่าพระเจ้าทรงโปรดสิ่งนั้นมากเท่านั้น พระองค์คงเบื่อไม่น้อย เมื่อทรงได้ยินคำภาวนาที่สุภาพแต่ไม่เจาะจงของเรา เมื่อเราได้ฟังข่าวสาร หรืออ่านข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ เราจะทำอะไรได้ดีไปกว่าถ่ายทอดความกังวลใจของเราถึงพระเจ้าโดยตรง เมื่อเราพูดกับเพื่อนคนหนึ่ง และเห็นว่าเธอกำลังเหน็ดเหนื่อยกับบางสิ่งบางอย่าง เราสามารถนำปัญหาของเธอเสนอต่อพระเจ้าได้ทันที เมื่อเราตรวจดูสมุดบันทึก และสงสัยว่าเราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จดไว้ได้อย่างไร เราก็สามารถยกถวายแด่ “ความไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร” ของพระเจ้า เหตุการณ์จริงเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับการภาวนาที่แท้จริง
• ข้าพเจ้ามีกางเขนไม้เล็ก ๆ อันหนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างที่จับได้เหมาะมือมาก และข้าพเจ้าใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม เมื่อล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อ ข้าพเจ้าจะสัมผัสได้ทันทีกับสัญลักษณ์ที่ทรงอานุภาพมากที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยรู้จัก สำหรับข้าพเจ้า กางเขนนี้เป็นสิ่งเตือนใจให้คิดถึงความรัก และความผูกพันของพระเจ้าต่อโลกที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางผ่านไปนี้ ข้าพเจ้าสามารถสวดภาวนาพร้อมกับเดินไป ไม้กางเขนขนาดเล็กนี้ที่หาซื้อได้จากร้านขายหนังสือศาสนา และบ้านเข้าเงียบ หรือคุณจะแกะสลักขึ้นมาด้วยตัวเองก็ได้
• เราอยู่ในโลกที่ชอบใช้ดนตรีเป็นส่วนประกอบกิจกรรม แล้วทำไมเราจะใช้ดนตรีของศาสนาคริสต์ไม่ได้ มีซีดี และเทปเพลงมากมายสำหรับทุกรสนิยมให้เลือกซื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิก เพลงของคณะนักร้องสมัยใหม่ เพลงเทเซ่ ไอโอนา หรือแม้แต่ดนตรีผสม เมื่อเปิดฟังในรถยนต์ ในครัว หรือในที่อื่นใด ดนตรีนี้จะเตือนให้คิดถึงชีวิตจิตท่ามกลางชีวิตแต่ละวัน
• ในพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์จารีตตะวันออก มีบทภาวนาที่
โด่งดัง ซึ่งเรียกกันว่าบทภาวนาต่อพระเยซู (Jesus Prayer) ซึ่งคนทั่วไปมักสวดซ้ำไปมาเป็นเวลาสั้น ๆ หรือนาน ๆ ก็ได้ บทภาวนานี้คือ
“ข้าแต่พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าทรงชีวิต โปรดทรงเมตตาลูกผู้เป็นคนบาป”
บทภาวนานี้ช่วยให้เราเพ่งพินิจพระเยซูคริสตเจ้า ไม่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม และเตือนเราว่าเราต้องพึ่งพาอาศัยพระองค์เสมอ การสวดสายประคำก็เตือนเราเช่นนี้ได้เหมือนกัน