วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ช่างสวยงามเกินบรรยาย ในขณะที่ฉันมองอยู่นั้น ฉันสรรเสริญพระเจ้า สำหรับสิ่งสวยงามที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ขณะที่ฉันนั่งอยู่นั้น ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่กับฉันด้วย
พระองค์ถามฉันว่า “เจ้ารักเราหรือ” ฉันตอบว่า “แน่นอน พระเจ้าข้า พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์” แล้วพระองค์ทรงถามว่า “ถ้าร่างกายของเจ้าพิการล่ะ เจ้ายังจะรักเราหรือไม่”
ฉันรู้สึกงง ฉันมองลงไปที่ แขน ขา และที่ร่างกายของฉัน และจินตนาการเวลาที่ฉันจะไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ฉันตอบไปว่า “มันคงจะยาก พระเจ้าข้า แต่ข้าพระองค์จะยังรักพระองค์อยู่” แล้วพระเจ้าตรัสอีกว่า “ถ้าเจ้าตาบอดล่ะ เจ้าจะยังรักสิ่งที่เราสร้างหรือไม่” ฉันจะรักสิ่งต่างๆ โดยไม่เห็นมันได้อย่างไร ฉันคิดถึงคนตาบอดมากมายในโลก เขาเหล่านั้นยังรักพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ฉันจึงตอบว่า “มันคงจะยาก แต่ข้าพระองค์จะยังรักพระองค์”
แล้วพระเจ้าทรงถามฉันอีกว่า “ถ้าเจ้าหูหนวกล่ะ เจ้าจะยังฟังคำของเราหรือไม่”
ฉันจะฟังสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร ถ้าฉันหูหนวก แล้วฉันก็เข้าใจว่า การฟังพระวาจาของพระเจ้า ไม่ได้ใช้เพียงหูของเรา แต่ใช้หัวใจด้วย
ฉันจึงตอบไปว่า “มันคงจะยาก แต่ข้าพระองค์จะฟังพระวาจาของพระองค์”
พระองค์ทรงถามต่อว่า “ถ้าเจ้าเป็นใบ้ล่ะ เจ้าจะยังสรรเสริญนามของเราหรือไม่”
ฉันจะสรรเสริญพระองค์โดยไม่มีเสียงได้อย่างไร แต่ฉันนึกขึ้นได้ว่า พระเจ้าทรงต้องการให้เราร้องเพลงจากหัวใจและจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับเสียงของเรา และการสรรเสริญ พระเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงเพลงเสมอไป เมื่อเราถูกข่มเหง เราก็สรรเสริญพระเจ้าได้ด้วยคำขอบคุณ ฉันจึงตอบว่า “ถึงข้าพระองค์ไม่สามารถร้องเพลงได้ แต่ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระนามของพระองค์” และพระองค์ทรงถามว่า “เจ้ารักเราจริงหรือ” ด้วยความกล้าหาญและการตัดสินใจที่แน่วแน่ ฉันตอบไปอย่างชัดเจนว่า “ใช่แล้วพระเจ้า ข้าพระองค์รักพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียว และเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้”
ฉันคิดว่า ฉันตอบได้ดีแล้ว แต่... พระเจ้าทรงถามอีกว่า “แล้วทำไมเจ้าถึงทำบาปล่ะ?” ฉันตอบว่า “ก็ข้าพระองค์เป็นเพียงมนุษย์ ข้าพระองค์ไม่ได้สมบูรณ์แบบ” พระเจ้าตรัสอีกว่า “แล้วทำไมเวลาที่มีความสุข เจ้าถึงหลงไปจากทางของเรา ทำไมเฉพาะเวลาที่มีความทุกข์เท่านั้น เจ้าถึงจะอธิษฐานภาวนาอย่างจริงจัง”
ไม่มีคำตอบ... มีเพียงน้ำตา พระเจ้าตรัสต่อไปว่า “ทำไมเจ้าถึงขอแต่สิ่งที่เห็นแก่ตัว ทำไมถึงขอแต่สิ่งที่ไม่ยั่งยืน” น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของฉัน “ทำไมเจ้าจึงละอายเรื่องของเรา ทำไมไม่ประกาศข่าวดีออกไป ทำไมเวลาที่ถูกข่มเหง เจ้าจึงร้องไห้กับคนอื่นๆ ในขณะที่เรายกบ่าของเราให้เจ้าร้องไห้ ทำไมเจ้าจึงหาข้อแก้ตัว เมื่อเราให้โอกาสเจ้ารับใช้ในนามของเรา”
ฉันพยายามจะตอบ แต่ไม่สามารถตอบได้ “เจ้าได้รับพระพรมากมายในชีวิต เราสร้างเจ้า ไม่ได้ให้เจ้าละทิ้งพระพรไป เราได้อวยพรเจ้า ให้มีความสามารถที่จะรับใช้เรา แต่เจ้าก็ยังหันเหไป เราได้เผยแสดงพระวาจาของเราแก่เจ้า แต่เจ้าไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ เราได้พูดกับเจ้า แต่หูของเจ้าปิด เราสำแดงพระพรของเราแก่เจ้า แต่เจ้าไม่ใส่ใจ เราได้ส่งผู้รับใช้ไปให้เจ้า แต่เจ้าก็นั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร จนพวกเขาถูกดึงออกไป เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และเราตอบทุกคำ เจ้ารักเราจริงๆ หรือ”
ฉันไม่สามารถตอบได้ ฉันจะตอบได้อย่างไร ฉันรู้สึกอึกอัก ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ฉันจะบอกว่าอย่างไร เมื่อหัวใจของฉันร้องไห้ และน้ำตาไหล ฉันพูดได้แต่เพียงว่าว่า “โปรดให้อภัยข้าพระองค์ด้วย พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ดีพอที่จะเป็นลูกของพระองค์”
พระองค์ตรัสตอบว่า “นั่นเป็นพระคุณของเรา ลูกเอ๋ย”
ฉันถามต่อไปว่า “แล้วทำไมพระองค์ยังสามารถให้อภัยข้าพระองค์ได้อีก ทำไมยังรักข้าพระองค์ได้อีก”
พระองค์ตอบว่า “เพราะเจ้าเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เจ้าเป็นลูกของเรา เราไม่เคยทอดทิ้งเจ้าไปไกลเลย เมื่อเจ้าร้องไห้ เราเข้าใจและร้องไห้กับเจ้า เมื่อเจ้าร้องตะโกนด้วยความชื่นชมยินดี เราก็หัวเราะไปกับเจ้าด้วย เมื่อเจ้าล้ม เราก็หนุนกำลังเจ้า เมื่อเจ้าตกต่ำ เราก็ยกเจ้าขึ้น เมื่อเจ้าเหนื่อย เราอุ้มเจ้าไว้ เราจะอยู่กับเจ้าจนถึงวันสุดท้าย และเรารักเจ้าตลอดไป”
ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฉันร้องไห้หนักเท่านี้มาก่อน ฉันเย็นชาอย่างนี้ได้อย่างไร ฉันทำให้พระเจ้าเจ็บปวดอย่างที่ฉันทำได้อย่างไร ฉันถามพระเจ้าว่า “พระองค์รักข้าพระองค์มากเท่าใด”
พระองค์ทรงกางแขนออก และฉันเห็นรอยตะปูบนพระหัตถ์ของพระองค์ ฉันก้มลงแทบพระบาทของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอด และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันอธิษฐานภาวนาอย่างจริงจัง
ที่มา: เรื่องเล่าชวนศรัทธา แม่พระยุคใหม่