♦ ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนตัว ความเชื่อทำให้ข้าพเจ้ากล่าวกับพระเป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระองค์ ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ และมอบความคิด, จิตใจ, วิญญาณและร่างกายของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ความเชื่อดังกล่าวนี้รวมถึงความเชื่อในพระเยซูคริสต์ และพระจิตด้วย
♦ ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนรวม ข้าพเจ้ามิได้เชื่อทุกสิ่งโดยตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าเป็นส่วนของพระศาสนจักรอันเป็นชุมชนหนึ่งของผู้มีความเชื่อทั้งหลาย ข้าพเจ้าเข้าร่วมกับพวกเขาในการกล่าวว่า “เราเชื่อในพระบิดา พระบุตร และพระจิต” โดยนัยหนึ่งพระศาสนจักรก็คือกลุ่มคนที่สนับสนุนความเชื่อของข้าพเจ้า ดังนั้น ความเชื่อของเราจึงเป็นแบบพระศาสนจักร คงจะเป็นการยากหรือบางทีอาจจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่ข้าพเจ้าจะมีความเชื่อในพระคริสต์ ถ้าไม่มีคนรอบข้างสักคนเป็นผู้มีความเชื่อ ครอบครัว, วัด, สังฆมณฑลและพระศาสนจักรสากลต่างก็ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ข้าพเจ้าโดยทางความเชื่อของแต่ละหน่วยสังคม
♦ ความเชื่อเป็นความสามารถประการหนึ่งที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์ เมื่อนักบุญเปโตรยืนยันว่าพระเยซูเจ้า คือพระบุตรของพระเป็นเจ้าผู้ทรงชีวิตนั้น พระเยซูเจ้าทรงสรรเสริญพระเป็นเจ้าที่ประทานความสามารถที่จะเชื่อนี้แก่นักบุญเปโตร นักบุญเปโตรไม่รู้เรื่องที่พระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรของพระเป็นเจ้าจากวิจารณญาณของตนหรือจากบุคคลในครอบครัวของพระองค์ แต่โดยอาศัยความสามารถอันยิ่งใหญ่จากพระหรรษทานของพระบิดา ความเชื่อของเราจึงเป็นดั่งความสามารถประการหนึ่งและพระหรรษทานอย่างหนึ่งที่พระเป็นเจ้าประทานแก่มนุษย์
- ♦ ความเชื่อเป็นการกระทำอย่างหนึ่งของมนุษย์ พระจิตทรงทำให้มีความเชื่อได้ แต่เราต้องใช้สติปัญญา และความสามารถของเราด้วยเพื่อที่จะมีความไว้วางใจ พระหรรษทานพึ่งพาความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์เพื่อจะได้รู้และไว้วางใจในอิสรภาพพร้อมทั้งยกระดับความสามารถเหล่านี้ขึ้นสู่ระดับเหนือธรรมชาติ
♦ ความเชื่อแสวงหาความเข้าใจ ขณะที่ความเฉลียวฉลาดของเราเองนั้น ไม่สามารถทำให้เรารู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่มาจากการเปิดเผย (ความจริง)ได้ เช่น พระตรีเอกภาพ (Trinity) แผนการช่วยให้รอดพ้น(the plan of salvation) หรือสถานภาพพระเจ้าของพระคริสต์(the divinity of Christ) แต่สติปัญญาของเราสามารถถูกโน้มน้าวให้เชื่อได้โดยเรื่องอัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระคริสตเจ้าและนักบุญทั้งหลาย, คำสั่งสอนของบรรดาประกาศก รวมทั้งการเจริญเติบโตและความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร ยิ่งกว่านั้น สติปัญญาของเรายังสามารถตรวจสอบความจริงต่างๆจากการเปิดเผย (ความจริง) เพื่อจะเข้าใจสิ่งต่างๆนั้นได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำเอาความจริงเหล่านั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเชื่อเพื่อจะเข้าใจ และข้าพเจ้าเข้าใจเพื่อจะเชื่อ” (Sermo 43,7,9)
- ♦ ความเชื่อเป็นสิ่งที่แน่นอน สิ่งที่เรารู้โดยทางความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนกว่าสิ่งที่เรารู้ด้วยวิจารณญาณ เพราะเรามีอำนาจของพระเป็นเจ้ารับรองความรู้นั้น ในบางครั้งความเชื่ออาจดูเป็นสิ่งยากแก่การเข้าใจด้วยสติปัญญาของเรา แต่ความแน่ใจที่เกิดขึ้นจากแสงสว่างของพระเป็นเจ้า(the divine light)2นั้นยิ่งใหญ่กว่าความแน่ใจที่เกิดจากสติปัญญาของเรา นักบุญอังเซล์ม กล่าวว่า “ความยุ่งยากร้อยแปดพันประการ ก็ไม่ทำให้เกิดความสงสัยแม้เพียงประการเดียว”
♦ ความเชื่อเป็นเพื่อนของวิจารณญาณ ความเชื่อกับวิจารณญาณไม่สามารถจะขัดแย้งกันได้ ในเวลาที่ทั้งสองต้องกล่าวถึงความจริง ความจริงของพระเป็นเจ้านั้นไม่ขัดแย้งกับความจริงของมนุษย์ เนื่องจากพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้ประพันธ์ความจริง ในทุกๆที่ที่มีความจริงปรากฏ การค้นคว้าอย่างมีระเบียบในการหาความรู้ทุกสาขานั้น หากกระทำด้วยความสุจริตและไม่ขัดกับกฎศีลธรรมแล้ว ย่อมจะไม่ขัดแย้งกับความเชื่อ
- ♦ ความเชื่อเป็นอิสระ ไม่ควรมีผู้ใดถูกบังคับให้มามีความเชื่อที่เขาไม่สมัครใจเชื่อ เพราะการแสดงความเชื่อนั้นโดยธรรมชาติแล้วเป็นการแสดงออกที่อิสระ เราแนะนำความเชื่อให้กับผู้อื่นได้ แต่เราไม่ควรยัดเยียดความเชื่อให้เขา เราเสนอทางเลือกหนึ่งคือพระเยซูคริสตเจ้า, ทางเลือกหนึ่งคือความรักให้กับมวลมนุษย์ เราพยายามให้เหตุผลว่าทำไมควรจะเลือกพระคริสตเจ้าโดยใช้ความรัก, กำลังความสามารถทั้งหมดและการโน้มน้าวใจที่เราสามารถทำได้ แต่เราต้องไม่ยัดเยียดพระเยซูเจ้าให้กับผู้อื่น
♦ ความเชื่อเป็นความเชื่อถือในข่าวสารหนึ่ง ส่วนใหญ่ของสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นอ้างถึงความเชื่อในลักษณะที่เป็นความสัมพันธ์แบบส่วนตัว, ส่วนรวมและการไว้ใจ ความเชื่อของเรานั้นริเริ่มความสัมพันธ์ของเรากับพระตรีเอกภาพ –นั่นคือกับพระเยซูเจ้าด้วย พระคริสตเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่าเราควรเชื่อในพระองค์ แต่พระองค์ยังตรัสอีกว่าเราควรเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงสอนด้วย พระองค์ตรัสว่า “เราคือความจริง” และยังทรงสอนว่า “เรามีความจริง” บทข้าพเจ้าเชื่อของบรรดาอัครสาวกเป็นตัวอย่างสาระสำคัญหนึ่งที่อยู่ในข่าวสารถึงคริสตชน ทั้งยังเป็นบทข้าพเจ้าเชื่อที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่สอง และได้ถูกนำมาใช้ในพิธีศีลล้างบาป บทข้าพเจ้าเชื่อแห่งนิเชนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่สี่ อันเป็นผลมาจากสภาสังคายนาสากลสองครั้งแรก (คือสภาสังคายสากลครั้งแรกที่นิเช และครั้งที่สองที่คอนสแตนติโนเปิล) ที่ทำให้คำสอนของพระศาสนจักร เรื่อง ความเป็นมนุษย์และสถานภาพพระเจ้าของพระเยซูเจ้า, สถานภาพพระเจ้าของพระจิตและความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตรและพระจิตในพระตรีเอกภาพมีความกระจ่างขึ้น หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของข่าวสารที่มีค่าและน่าพึงพอใจซึ่งความเชื่อของเรายึดถือ
- ♦ ความเชื่อได้ประสบกับชีวิตนิรันดรในช่วงเวลาสั้นๆ นักบุญบาซิลสอนเราให้พิจารณาว่า ความสุขที่เกิดจากความเชื่อในปัจจุบันนั้น เหมือนดั่งการมีประสบการณ์ชีวิตนิรันดรเป็นครั้งแรก แน่นอนทีเดียวที่ปัญหาต่าง ๆอันเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินชีวิตปัจจุบันของเราทำให้เรามีความชื่นชมในความรุ่งโรจน์ของชีวิตหน้าได้ยาก ด้วยเหตุนี้เราจึงควรได้รับแรงบันดาลใจจากบรรดาพยานเรื่องความเชื่อ เช่น อับราฮัม ผู้เดินไปในทางของพระเป็นเจ้าด้วยความหวังอันเต็มไปด้วยพลังความเชื่อที่ให้ความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน และพระแม่มารีอาผู้ทรงเดินทางไปในยามค่ำคืนแห่งความเชื่อ บรรดานักบุญก็เป็นกลุ่มพยานผู้ซึ่งยืนยันกับเราว่าการอุทิศตนทำตามความเชื่อของเรานั้นไม่เปล่าประโยชน์ แต่เป็นการประกันของพระเป็นเจ้าถึงสิ่งที่เราหวังจะได้รับ และเป็นความมั่นใจในความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่เรามองไม่เห็น