การถ่ายทอดความเชื่อ
“คนเหล่านั้นประชุมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อฟังคำสั่งสอนของบรรดาอัครสาวก ดำเนินชีวิตร่วมกันฉันพี่น้องร่วมพิธีบิขนมปัง” และภาวนา... ทุก ๆ วัน เขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารและไปตามบ้านเพื่อทำพิธีบิขนมปัง ร่วมกินอาหารด้วยความยินดี และเข้าใจกัน สรรเสริญพระเจ้า และได้รับความนิยมจากประชาชนทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้จำนวนผู้ที่ได้รับความรอดพ้นเพิ่มขึ้นทุกวัน” (กจ.2:42, 46-47)
90. ตามหัวข้อระบุไว้สำหรับสมัชชาพระสังฆราช วัตถุประสงค์ของการประกาศพระวรสารแบบใหม่ คือ การถ่ายทอดความเชื่อ การประชุมสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เตือนให้ระลึกถึงลักษณะที่ซับซ้อนของกระบวนการนี้ ที่เกี่ยวกับความเชื่อคริสตชนและชีวิตของพระศาสนจักรอย่างเต็มที่ในประสบการณ์ของการเผยแสดงของพระเจ้า "ด้วยพระทัยดีหาขอบเขตมิได้ พระเป็นเจ้าทรงจัดไว้ว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงเผยให้รู้เพื่อความรอดของนานาชาตินั้น จะต้องคงอยู่ไปอย่างครบถ้วน และมอบให้แก่คนรุ่นหลังสืบต่อกันไปทุกอายุขัย." [45] “ธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์และพระคัมภีร์รวมเป็นคลังศักดิ์สิทธิ์แต่อันเดียว ที่บรรจุพระวาจาของพระเจ้าที่พระศาสนจักรได้รับมอบไว้ ประชากรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระสังฆราชผู้อภิบาลของตน จึงยึดพระวาจานี้ไว้อย่างมั่นคงในคำสอนของบรรดาอัครสาวก และมีชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง ในการบิปังและในการภาวนา." (เทียบ กจ. 2.42). ดังนั้น การปฏิบัติและการยืนยันมรดกแห่งความชื่อ เพื่อว่า การยึดความเชื่อจะร่วมส่วนของพระสังฆราชและซื่อสัตย์ต่อความพยายามร่วม[46]
91. หนังสือกิจการอัครสาวกบันทึกไว้ว่าคนเราไม่สามารถถ่ยทอดสิ่งที่ไม่เชื่อหรือไม่ได้ยึดถือปฏิบัติตาม คนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามต้นแบบในพระวรสาร ก็จะไม่ถ่ายทอดพระวรสารแก่คนอื่น หรือชีวิตที่ไม่พบความหมายของชีวิต ความจริงและอนาคตที่มีพื้นฐานจากพระวรสาร, ความจริงและอนาคตที่มีพื้นฐานจากพระวรสาร. แม้ในปัจจุบันนี้ เช่นเดียวกับอัครสาวก เราเข้าถึงชีวิตแห่งของความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา, ในพระเยซูคริสตเจ้า อาศัยพระจิตเจ้าที่ทรงแปรสภาพเราและช่วยเราไม่เพียงแต่ให้ถ่ายทอดความเชื่อที่เราดำเนินชีวิตตามเท่านั้น พระจิตยังบันดาลให้ผู้ที่พระจิตทรงตระเตรียมไว้ให้ตอบสนองด้วยการประทับอยู่และการกระทำของพระองค์ (เทียบ กจ. 16:14) การประกาศพระวรสารที่ได้ผลเรียกร้องการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างลึกซึ้งท่ามกลางบรรดาบุตรธิดาของพระเจ้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่เด่นชัดที่ให้ร่วมกันประกาศพระวรสาร ตามคำเล่าของนักบุญยอห์นอัครสาวกที่ว่า: "เราให้บัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา” (ยน. 13:34, 35)
92. การประกาศพระวรสารพระวาจาหรือการประกาศพระวรสารไม่ใช่งานจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือเลือกบางคนมาทำ แต่เป็นของประทานสำหรับแต่ละคนเพื่อตอบรับการเรียกให้มีความเชื่อ การถ่ายทอดความเชื่อไม่ได้เป็นงานของแต่ละคนเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบของคริสตชนทุกคนและพระศาสนจักรทั้งหมดที่ทำกิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่อง แล้วพระศาสนจักรจะค้นพบอัตลักษณ์ของพระศาสนจักรอีกครั้งว่าเป็นประชากรที่มาชุมนุมกันโดยอาศัยพระจิตเจ้าที่จะทรงทำให้การประทับอยู่ของพระคริสตเจ้าท่ามกลางเราจริงๆ และเราจะค้นพบโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้าผู้เป็นพระบิดา
การตีความอย่างเข้มงวดนั้น การถ่ายทอดความเชื่อคืองานพื้นฐาของพระศาสนจักรซึ่งนำชุมชนคริสตชนให้สื่อสารงานขั้นพื้นฐานของชีวิตแห่งความเชื่อได้แก่ งานเมตตาธรรม, การเป็นพยาน, การประกาศพระวรสาร, การเฉลิมฉลองการฟังและการแบ่งปัน เราควรรับรู้งานประกาศพระวรสารว่าเป็นกระบวนการโดยมีพระจิตเจ้าทรงขับเคลื่อนให้พระศาสนจักรประกาศพระวรสารและเผยแพร่พระวรสารไปทั่วโลก. และการประกาศพระวรสารแทรกซึมและแปรสภาพระเบียบชั่วคราวทั้งหมดด้วยความรักที่ผลักดัน เพื่อคิดและฟื้นฟูวัฒนธรรม. การประกาศพระวรสารเริ่มประกาศพระวรสารและเรียกให้กลับใจ. การประกาศพระวรสารชี้นำให้ผู้คนหันหาพระเยซูคริสตเจ้าโดยการสอนคำสอนและการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประเภทริเริ่ม หรือคนนำคนให้กลับไปสู่เส้นทางแห่งการเป็นศิษย์,ร่วมมือกับคนจำพวกแรกและเชิญชวนคนจำพวกหลังให้เข้ามาร่วมชุมชนคริสตชน.การประกาศพระวรสารยังคงหล่อเลี้ยงของประทานแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่สัตบุรุษ ผ่านการสอนความเชื่อ, การเฉลิมฉลองของศีลศักดิ์สิทธิ์และงานเมตตาธรรม. การประกาศพระวรสาร เป็นตัวกระตุ้นอย่างต่อเนื่องเพื่องานธรรมทูตซึ่งส่งสาวกของพระคริสตเจ้าออกไปข้างหน้าทุกส่วนของโลกเพื่อประกาศพระวรสารด้วยวาจาและกิจการ, พระศาสนจักรกำลังพบว่ากระบวนการของการถ่ายทอดความเชื่อต้องปลุกหลายชุมชนให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในอาศัยการพิเคราะห์แยกแยะซึ่งจำเป็นในการประกาศพระวรสารแบบใหม่