นานาอุปสรรคต่อครอบครัวที่อบอุ่น (Blocks to a Loving Family)
การแสดงความรักช่วยทำให้มีช่วงเวลาที่คุณรู้สึกใกล้ชิด ความรักเป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งใดซึ่งก็คือ ความใกล้ชิดในครอบครัวนั่นเอง ความรักเป็นตัวเลือกที่สำคัญ คุณไม่ต้องรอจนคุณรู้สึกว่าชอบเป็นคนมีความรัก คุณสามารถตัดสินใจเป็นคนที่มีความรักได้ทุกวันหากคุณต้องการ
พิจารณาดูว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ อะไรคือสิ่งที่คุณให้ค่า คุณจะดำเนินชีวิตเพื่อแสดงถึงสิ่งที่คุณให้ค่าได้อย่างไร เมื่อคุณให้ค่ากับความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในครอบครัว คุณสามารถแสดงสิ่งนั้นได้โดยการมีส่วนร่วมทำกิจกรรมที่นี่ในสุดสัปดาห์นี้ แน่นอนคุณต้องการค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่ดึงคุณไว้ไม่ให้ใกล้ชิดกับครอบครัว และนั่นก็คือ นานาอุปสรรคต่อความสัมพันธ์อันแนบแน่นของครอบครัว
1. การจับผิด (criticism)
การจับผิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของพื้นฐานแห่ง “กำแพงของนานาอุปสรรค” โปรดจำไว้เสมอว่า การจับผิดกับการแก้ไขนั้นไม่เหมือนกัน การแก้ไขเป็นการพูดอย่างเรียบๆ คือการพูดเพื่อ “ไม่ให้ทำบางสิ่งบางอย่าง” เช่น “อย่าใช้มีดตักถั่ว” หรือ “อย่าเช็ดล้างหินสีแดงด้วยผ้าขาวผืนใหญ่”
การจับผิดเป็นสิ่งที่ต่างจากการแก้ไขอย่างสิ้นเชิง การจับผิดเกิดขึ้นเมื่อคุณโจมตีคนอื่น ซึ่งอาจเป็นเพราะจำเป็นต้องมีการแก้ไข เช่น คุณแม่พูดว่า “เป็นเวลาที่ลูกจะต้องทำความสะอาดห้องของตัวเองแล้ว” นี่เป็นการแก้ไขและอาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก แต่ถ้าเธอพูดว่า “คนไหนที่คิดว่านี่เป็นห้องที่สะอาดก็เป็นคนโง่สกปรกแน่ๆ” คุณคิดว่านี่เป็นการจับผิดหรือการแก้ไข การจับผิดนั้นจะเป็นการชี้นิ้วด่าว่าอีกคนหนึ่ง
2. ความมีเจตนาร้าย (hostility)
ความมีเจตนาร้ายเป็นอุปสรรคอีกประการหนึ่งของการมีครอบครัวที่อบอุ่น ความมีเจตนาร้ายก็คือความต้องการทำให้เจ็บปวด เป็นการรอคอยที่จะพูดหรือทำสิ่งที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน บางทีคุณอาจจะรอคอยทั้งวันเพื่อจะได้แก้แค้นใครสักคน สมมติว่าพี่สาวสร้างปราสาททรายบนชายหาด เธอต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าจะทำเสร็จ ส่วนน้องชายได้แต่เฝ้าดูจนพี่สาวทำเสร็จ แล้วก็แกล้งวิ่งผ่านปราสาททรายของพี่สาวและเตะทุกส่วนพังหมด สิ่งนี้เป็นเพราะความมีเจตนาร้ายใช่หรือไม่
3. การไม่ให้เกียรติ (disrespect)
การไม่ให้เกียรติก็เป็นอุปสรรคเช่นกัน เพราะนั่นหมายถึง คุณไม่ได้ให้เกียรติซึ่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการแก่คนอื่น แสดงให้เห็นว่า คุณไม่ได้คำนึงถึงคนอื่นและความรู้สึกของเขา เช่น คุณแม่รู้ว่าลูกสาวของเธอคือ นิดหน่อยกำลังทำบันทึกประจำวัน และคุณแม่ก็ไม่ควรคิดที่จะอ่านบันทึกประจำวันส่วนตัวของคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เธอคิดว่าการอ่านบันทึกของนิดหน่อยน่าจะไม่เสียหายอะไร เพราะนิดหน่อยเป็นเพียงเด็กเท่านั้น นั่นคือ คุณแม่เหมือนกับจะพูดว่า นิดหน่อยยังไม่มีค่าควรแก่การเคารพเหมือนกับคนรุ่นเดียวกับคุณแม่ หรือบุคคลอื่นที่อยู่นอกครอบครัว ดังนั้นเธอจึงอ่านบันทึกนั้น และนี่คือการไม่ให้เกียรติ คุณแม่กำลังทำกับนิดหน่อยเหมือนกับว่านิดหน่อยเป็นคนน้อยกว่าคนอื่นๆ คุณแม่ไม่ได้คำนึงถึงนิดหน่อยและความรู้สึกของนิดหน่อย แล้วคุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคนบางคนกดคุณให้ต่ำลงโดยทำกับคุณเหมือนกับว่าคุณเป็นคนน้อยกว่าคนอื่นๆ
4. ความพยายามเป็นนาย (trying to be boss)
การควบคุมเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งต่อความสัมพันธ์ที่อบอุ่น การควบคุมเกิดจากคนที่พยายามจะเป็นนาย คุณพยายามที่จะควบคุมคนอื่นๆ ในหลายๆ วิธี สมมติอ้วนกับอ้นกำลังเล่นเกมด้วยกัน อ้นต้องการที่จะเป็นผู้เริ่มก่อน แต่ทั้งคู่ต้องจับฉลากกัน และอ้นไม่ได้เป็นผู้เริ่มก่อน อ้นพูดกับอ้วนว่า “ฉันจะไม่เล่นหากฉันไม่ได้เริ่มก่อน!” อ้นพยายามที่จะควบคุมอ้วน เธอพยายามให้อ้วนทำในสิ่งที่เธอต้องการ แล้วคุณเคยได้ยินใครพูดทำนองว่า “ฉันจะไม่เล่นด้วย” หรือ “ฉันจะไม่เป็นเพื่อนกับคุณถ้าคุณไม่ทำตามวิธีของฉัน” หากเป็นเช่นนี้คุณยังรู้สึกเป็นมิตรกับคนที่พยายามทำกับคุณเช่นนี้ไหม
5. ความระแวง (suspicion)
ความระแวงคือ การคิดว่าเป้าหมายของคนอื่นเป็นสิ่งที่เลวเสมอ เช่น แม่ทำอาหารที่มีแต่ของที่พ่อชอบทั้งนั้นเลย และยังปฏิเสธที่พ่อจะช่วยทำความสะอาดอีก ทั้งยังเรียกร้องให้พ่อนั่งดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือหรือทำอะไรก็ได้ ในที่สุดแม่ก็เสร็จธุระทั้งหลาย แล้วนั่งลงใกล้ๆ พ่อ พ่อจึงพูดว่า “เรียบร้อย” และคิดต่อไปว่า “จะมีข่าวร้ายอะไรนะ เธอต้องการเกลี้ยกล่อมฉันเพื่ออะไรอีก” การที่พ่อคิดเพียงว่าการทำดีมากๆ ของแม่มีสาเหตุมาจากความต้องการบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น นั่นคือความระแวง
6. การต่อสู้ (fighting)
แล้วก็ถึงการต่อสู้ เราทุกคนรู้จักการต่อสู้ดี บางทีอาจจะอยู่ในรูปแบบการตีกับคนอื่น เช่น น้องชายของก้องเอาของเล่นของเขาไป ก้องก็บอกให้น้องชายเอามาคืนแต่น้องชายกลับชกเขาแล้วก็เกิดการต่อสู้
แต่เรายังสามารถสู้กันด้วยคำพูด เช่น ปูพูดว่า “อย่ามาจับเสื้อผ้าของฉันนะ เธอทำให้เสื้อผ้าของฉันสกปรกเสมอ เอามือออกไปนะ” และน้องของเธอคือ กุ้ง ตะโกนกลับว่า “ใครต้องการเสื้อผ้าสกปรกของเธอล่ะ ไม่มีใครต้องการใส่เสื้อผ้าของเธอหรอก เธอคิดว่าเสื้อผ้าของเธอมีค่ามากนักหรือ”
“เธอไม่ต้องการเสื้อผ้าของฉันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปให้ห่างจากตู้เสื้อผ้าของฉันและชีวิตของฉันด้วย”
และมันก็จะต่อไปเช่นนั้น ไม่มีใครเลิกรา ไม่มีใครต้องการพักรบ จนในที่สุดทั้งสองก็ลืมไปว่าพวกเขาทะเลาะกันทำไมและเริ่มต้นอย่างไร แต่ทั้งคู่ยังโต้เถียงกันอย่างรุนแรงและไม่หยุดยั้ง และนี่คือการต่อสู้
7. ความเมินเฉย (indifference)
นอกจากที่กล่าวมาก็ยังมีขั้วที่ตรงกันข้ามกับการต่อสู้ นั่นคือ ความเมินเฉย ซึ่งเป็นอุปสรรคอีกแบบหนึ่ง ความเมินเฉยเกิดขึ้นเมื่อเราแสดงเหมือนว่า เราไม่สนใจอีกคนหนึ่ง
พ่อกำลังดูการแข่งขันทางโทรทัศน์ ลูกสาวของเขาเข้ามาดึงแขนเสื้อของเขาและพูดว่า “ในห้องเรียนวันนี้ หนูได้ A ตัวหนึ่งนะคะ” “ดีมาก น่ายินดีจริงๆ นะ”พ่อพูดพร้อมกับดูโทรทัศน์ไปด้วย
“มันเป็น A ตัวแรกในวิชาคณิตศาสตร์” ลูกสาวพูดอีก
“อืม – อืม”พ่อพูด “ดูเขาส่งลูกสิ” พ่อพูดเป็นนัยเพื่อให้ลูกสาวออกไป แต่เธอไม่ต้องการออกไป เธอต้องการให้พ่อฟังเรื่องของเธอ “พ่ออยากดูคะแนนของหนูไหมคะ” ลูกสาวพูด
“แน่นอน” พ่อพูด “แต่เอาไว้ก่อนนะ” ลูกสาวจึงเดินจากไปอย่างเลื่อนลอย ดูเหมือนว่าการได้ A ไม่ใช่เรื่องสำคัญมากในขณะนี้ เพราะพ่อของเขาไม่สนใจ
8. ความเห็นแก่ตัว (selfishness)
อุปสรรคอีกประการหนึ่งที่เราทุกคนรู้จักคือ ความเห็นแก่ตัว แม่กำลังตัดพายที่เธอเพิ่งจะเอาออกจากเตาอบ มันอุ่นและหอมกรุ่นทีเดียว แล้วเธอก็บอกต้อมว่า “มาเอาพายนี่ไปไว้ที่โต๊ะได้แล้วจ้ะ”
“ได้เลยครับ” ต้อมพูด เขาดูแม่ตัดพายด้วยใจจดจ่อ เขาเอาชิ้นเล็กๆ ไปที่โต๊ะก่อน ในที่สุดทุกคนได้รับขนมพายเรียบร้อยยกเว้นเขากับแม่ของเขา “ผมจะเอาพายของแม่มาให้นะครับ” เขาพูด และขณะที่แม่ถือกาแฟเข้ามา ต้อมก็เอาพายชิ้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองมาให้เธอ และเก็บชิ้นที่ใหญ่ที่สุดไว้ให้ตัวเอง และนี่แหละคือ ความเห็นแก่ตัว