ในแต่ละวันของแต่ละคน มีหลายสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสิ้นหวัง จนบางครั้งไม่มีเรี่ยวแรงจะก้าวต่อไป สิ่งที่เราต้องการคือทางออกที่สว่างสุกใส แต่ดูเหมือนทางข้างหน้ามีแต่ความมืดมิด และหลายครั้งสุดทางนั้นยังเป็นทางตันเสียอีก คุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกเช่นนั้น คุณต้องการใครสักคนที่จะช่วยคุณแก้ปัญหาหรือพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้น หรืออะไรสักอย่างที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น
คุณคงจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดของคนสิ้นหวังจากข้อความเหล่านี้
“เพราะข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ชีวิตของข้าพเจ้าเข้ามาใกล้แดนมรณะ” (สดุดี 88:3)
“เหตุไฉนพระองค์จึงทรงผลักไสข้าพเจ้า และทรงซ่อนพระพักตร์ไปเสียจากข้าพเจ้าเล่า?
“พระองค์ทรงผลักไสทั้งมิตรสหายและผองเพื่อนไปจากข้าพเจ้า เหลือแต่ความมืดเท่านั้นที่เป็นเพื่อน” (สดุดี 88:14, 18)
“ทุกวันของผู้มีความทุกข์เป็นวันร้าย...” (สุภาษิต 15:15)
ข้อความข้างต้นนี้เป็นคำคร่ำครวญด้วยใจเจ็บปวดที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แสดงให้เราเห็นว่าความสิ้นหวังเป็นเรื่องที่เกิดได้กับทุกคน แม้แต่ผู้เชื่อในพระเจ้าก็ยังรู้สึกหม่นหมองได้โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญปัญหาที่ชวนให้สิ้นหวัง ในเวลานั้น มนุษย์จะรู้สึกว่าพระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยตานั้นอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน
แต่...พระเจ้าอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินคำอธิษฐาน
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหลายคนที่อธิษฐานต่อพระเจ้า เขาเล่าให้พระเจ้าฟังว่าเขารู้สึกสิ้นหวังอย่างไร เรื่องเหล่านั้นยืนยันว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่หนังสือที่บันทึกแต่เรื่องของคนที่มีความสุข แต่พระคัมภีร์มีเรื่องความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน การร้องไห้คร่ำครวญ ความไม่สมหวังและภาระหน้าที่อันหนักอึ้งของผู้ที่เชื่อในพระเจ้าด้วย
แต่คุณรู้ไหมว่าในความสิ้นหวังและความทุกข์ก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เพราะความทุกข์ทำให้คนเริ่มแสวงหาคำตอบของชีวิตและไขว้คว้าหาผู้ที่จะช่วยเขาได้ เป็นเหตุให้คนคิดถึงเรื่องราวของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และอยากรู้จักกับพระองค์ เมื่อเขาแสวงหาพระเจ้า เขาก็จะสัมผัสได้ถึงความรักและพระเมตตาของพระองค์ และได้รับความช่วยเหลืออันน่าชื่นใจจากพระองค์ ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ดังนั้น ในขณะนี้หากคุณกำลังรู้สึกสิ้นหวังด้วยสาเหตุใดก็ตาม พระเจ้ากำลังรอให้คุณพูดกับพระองค์ พระองค์อยากจะได้ยินเสียงคุณ พระองค์ต้องการช่วยคุณ คุณสามารถบอกกับพระองค์ว่าเวลานี้คุณรู้สึกอย่างไร พระเจ้าอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินคำอธิษฐานของคุณ
มีแสงสว่างส่องนำหนทาง
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีความจริงอีกประการหนึ่งคือพระเยซูผู้เป็นพระเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องนำหนทางของชีวิต พระองค์ทรงอยู่ใกล้คุณ โดยที่คุณไม่รู้ ความมืดในเวลาค่ำคืนและเมฆทึบยามฝนตั้งเค้าอาจจะบดบังแสงอาทิตย์จากโลกได้ แต่พระเยซูทรงเป็นแสงสว่างส่องโลกซึ่งอยู่กับคุณเสมอไป แม้แต่ถ้อยคำของพระองค์ก็ยังเปรียบได้กับโคมไฟส่องทางให้เราก้าวเดินต่อไปได้
พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนอีกว่า เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามเรามา จะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต (ยอห์น 8:12)
“พระวาจาของพระองค์เป็นโคมส่องทางของข้าพเจ้า เป็นแสงสว่างส่องทางเดินให้ข้าพเจ้า” (สดุดี 119:105)
“จงปลดเปลื้องความสาละวนของท่านถวายพระยาห์เวห์ แล้วพระองค์จะทรงค้ำจุนท่าน จะไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ชอบธรรมต้องสะดุดล้มเลย” (สดุดี 55:22)
พระเจ้าจัดเตรียมหนทางให้คุณ
พระเจ้าอยู่กับคุณที่นี่ในเวลานี้ พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าคุณรู้สึกหมดหวังอย่างไร และยังรู้ด้วยว่าทำไมคุณจึงรู้สึกเช่นนั้น พระองค์ทรงสัญญาว่าจะช่วยเหลือคุณหากคุณร้องขอจากพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้คุณอยู่อย่างสิ้นหวังหรือทอดทิ้งคุณในยามที่คุณมีปัญหา คุณสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะแม้ในเวลาที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังก็ตาม เพราะมีสิ่งดีๆ ข้างหน้าอีกมากมายสำหรับคุณ ขอเพียงแต่คุณจะไว้วางใจในพระองค์
“... พระยาห์เวห์ทรงได้ยินเสียงร่ำไห้ของข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงฟังคำวอนขอของข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงรับฟังคำภาวนาของข้าพเจ้า” (สดุดี 6:8-9)
“บิดาเมตตาสงสารบุตรของตนฉันใด พระยาห์เวห์ก็ทรงเมตตาสงสารผู้ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น” (สดุดี 103:13)
“เมื่อต้องลำบาก เขาร้องหาพระยาห์เวห์ พระองค์ก็ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้น” (สดุดี 107:6)
“ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ในพระองค์ ผู้ประทานพละกำลังแก่ข้าพเจ้า” (ฟิลิปปี 4:13)
ที่มา หนังสือ ดูเหมือนแพ้ ที่แท้คือชนะ
สมาคมพระคริสตธรรมไทย