แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

อาทิตย์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา


ข่าวดี    ลูกา 10:38-42
    (38) ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำเนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน  (39) นางมีน้องสาวชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าคอยฟังพระวาจาของพระองค์  (40) มารธากำลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” (41) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก (42) สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียวมารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้”



    ที่บ้านของมารธาและมารีย์สองพี่น้อง  พระเยซูเจ้าทรงเตือนให้ระลึกถึงคุณธรรมที่โลกเกือบลืมไปแล้ว 2 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
    1.    การยอมรับความแตกต่าง
        ในวงการศาสนาดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นปัญหาเรื้อรังและไม่ค่อยมีใครยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกัน โดยเฉพาะระหว่างนักกิจกรรมกับนักพรต
     มีคริสตชนกลุ่มหนึ่งซึ่งมากด้วยพลัง  พวกเขาชอบจัดกิจกรรมหรือไม่ก็ชอบเข้าร่วมกิจกรรมเกือบทุกค่าย ไม่ว่าที่ไหนจะจัดอบรม สัมมนา หรือจัดจาริกแสวงบุญไปแห่งหนตำบลใด พวกเขาเป็นต้องเข้าร่วมด้วยช่วยกันทุกครั้งไป  หากให้พวกเขาใช้ชีวิตสงบเงียบและจำศีลภาวนาอยู่กับบ้าน รับรองว่าอกแตกตายแน่
     ปัญหาของคนกลุ่มนี้คือ พวกเขาไม่เข้าใจและยอมรับไม่ได้ที่เห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งเอาแต่นั่งรำพึงภาวนาอยู่ในอารามหรือเฝ้าศีลอยู่ในวัด ราวกับต้องการปล่อยชีวิตผ่านไปเงียบ ๆ โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่สังคม
     คนกลุ่มแรกนี้เปรียบได้กับ “มารธา” !
        กลุ่มที่สองตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก คือนอกจากเน้นชีวิตสงบเงียบ การรำพึงภาวนาและการเฝ้าศีลมากกว่าการทำกิจกรรมแล้ว ส่วนใหญ่ยังชอบดูหมิ่นเหยียดหยามพวกนิยมชมชอบกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ว่าไม่ศรัทธา ไม่สวดภาวนา ไม่เฝ้าศีล และไม่ค่อยอยู่ติดบ้านติดวัดอีกต่างหาก
          กลุ่มที่สองนี้เปรียบได้กับ “มารีย์” !
        ปัญหาค้างคาใจทุกคนคือ ต่างฝ่ายต่างก็บอกว่าตัวเองถูก  ตกลงแล้วกลุ่ม “มารธา” หรือ “มารีย์” เป็นฝ่ายถูกกันแน่ ?
         เพื่อจะตอบปัญหานี้ ก่อนอื่นใดหมดต้องเข้าใจก่อนว่า พระดำรัสที่ว่า “มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุด” (ลก 10:42) มิได้หมายความว่าพระเยซูเจ้าทรงตัดสินให้กลุ่มมารีย์เป็นฝ่ายถูก     พระองค์เพียงต้องการบอกว่า “ณ เวลานี้ และ ณ สถานการณ์เช่นนี้ มารีย์ได้เลือกทำสิ่งที่ดีที่สุด”
         และเมื่อพระองค์ตรัสกับมารธาว่า “สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว” (ลก 10:42) ก็มิได้หมายความว่าพระองค์ทรงตำหนิการกระทำของมารธา  แต่เป็นไปได้มากว่ามารธากำลังวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมอาหารมากมายหลายอย่างสำหรับพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงต้องการอาหารเพียงจานเดียว อาจเป็นข้าวผัดหรือผัดไทยสักจานก็เพียงพอแล้ว
        กล่าวโดยสรุปก็คือ พระองค์ทรงต้องการทั้งมารีย์สำหรับสนทนากับพระองค์ และมารธาสำหรับเตรียมอาหารให้พระองค์ !
        และที่สำคัญ พระองค์ทรงรักทั้งมารธาและมารีย์ !
         เพราะฉะนั้นคำตอบสุดท้าย ในมุมมองของพระเยซูเจ้าก็คือ ไม่ว่าเราจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของมารธาหรือมารีย์ก็ตาม พระองค์ทรงรักและทรงต้องการเราทุกคน...
         ไม่มีกลุ่มใดผิด และ ไม่มีกลุ่มใดถูกมากกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง !
        เราต้องไม่ลืมว่า พระเจ้าทรงประทานพระพรพิเศษแก่แต่ละคนแตกต่างกันไป  ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า “พระพรพิเศษมีหลายประการ แต่มีพระจิตเจ้าพระองค์เดียว  มีหน้าที่หลายอย่างต่างกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว  กิจการมีหลายอย่าง แต่มีพระเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงกระทำทุกอย่างในทุกคน  พระจิตเจ้าทรงแสดงพระองค์ในแต่ละคนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” (1 คร 12:4-7)
        บางคนอาจเป็นนักพรตนั่งพนมมือ สวดภาวนา และคิดไตร่ตรองเรื่องราวต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง เพื่อเผยแพร่ข่าวดีให้เหมาะสมกับยุคสมัย
        แต่บางคนอาจเป็นแม่ครัวที่ทำงานไปพลาง สวดไปพลางแบบซื่อๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า  ลูกไม่มีเวลาที่จะเป็นนักบุญโดยการออกไปแพร่ธรรม หรือนั่งสนทนากับพระองค์จนดึกดื่น  ขอพระองค์โปรดให้ลูกเป็นนักบุญโดยการปรุงอาหารอร่อย ๆ ให้ผู้อื่นรับประทาน และล้างจานชามให้สะอาดอยู่เสมอด้วยเทอญ”
        เรามั่นใจได้ว่า ทั้งสองกลุ่มกำลังรับใช้พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงต้องการทั้ง “มารธา” และ “มารีย์” !!

    2.    การคิดถึงหัวอกของผู้อื่น
        เพื่อจะเข้าใจความหมายของคุณธรรมประการนี้ จำเป็นต้องเข้าใจสภาพจิตใจของพระเยซูเจ้าในขณะนั้นเสียก่อน
        ก่อนเสด็จมาที่บ้านของมารธาและมารีย์ ลูกาบันทึกไว้ว่า “เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม” (ลก 9:51)
     ไปเยรูซาเล็มก็คือไปตายบนไม้กางเขน !
     ไม่ว่ามนุษย์หน้าไหนต่างกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น  ยิ่งเป็นความตายสุดโหดและสุดทรมานบนไม้กางเขนด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัวหนักเข้าไปอีก
     พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกเช่นเดียวกันคือกลัว  และนอกจากจะกลัวแล้ว ทั้งความคิดและจิตใจของพระองค์ยังต้องต่อสู้กันอย่างเคร่งเครียดระหว่างการทำ “ตามใจของพระองค์เอง” กับการทำ “ตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า”
        เมื่อเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานี  สิ่งเดียวที่พระองค์ทรงปรารถนาคือการ “ปลีกพระองค์” จากฝูงชนสักสองสามชั่วโมง เพื่อจะได้มีเวลาสงบเงียบตามลำพัง จิตใจจะได้ผ่อนคลายหายเครียด
         ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงเสด็จเข้าบ้านของมารธาและมารีย์สำหรับ “ปลีกพระองค์”
        ด้วยความรักเต็มหัวอก มารธาจึงกระวีกระวาดเตรียมอาหารที่ดีที่สุดและมากที่สุดเท่าที่จะหาได้ จนต้องทูลขอพระเยซูเจ้าให้ส่งมารีย์น้องสาวมาช่วยกันทำ
        ทั้งหมดนี้นางทำไปด้วยความรักและความปรารถนาดีแท้ ๆ !
         แต่มารธาช่างโชคร้ายเหลือประมาณ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา  ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ เป็นเพราะความหวังดีของนางอีกนั่นแหละที่ได้ทำลาย “ความสงบเงียบ” อันเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาไปจนหมดสิ้น !
        ตรงกันข้ามกับมารีย์ นางเข้าถึง เข้าใจ และคิดถึงหัวอกของพระเยซูเจ้า !
         นางจึงนั่งอยู่แทบพระบาทคอยฟังพระองค์.....เพราะลำพัง “ฟัง” อย่างเดียว ก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมายนับไม่ถ้วนแล้ว
        น่าเสียดายที่ปัญหาของมารธายังคงเป็นปัญหาของเราตราบจนทุกวันนี้
        หลายครั้งเรามีน้ำใจดีช่วยเหลือผู้อื่น แต่เขากลับไม่ยินดีเลย  สาเหตุคงเกิดจากการทำตามแบบ “มารธา” นั่นคือเราช่วยเหลือเขา “ตามวิถีทางของเราเอง” และบังเอิญนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
        เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องกระทำก่อนอื่นใดหมดคือ คิดถึงหัวอกของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วแยกแยะให้ได้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่  มิใช่คิดแต่เพียงว่าเราต้องการให้อะไรแก่เขา
        นี่สิถึงจะเรียกว่า “เมตตา” จริง !!!
        เพราะคำฮีบรู chesedh (เขะเส็ด) ซึ่งเราแปลว่า “เมตตา” นั้น หมายถึง “ความสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในผู้อื่น แล้วมองด้วยสายตาของผู้อื่น คิดด้วยความคิดของผู้อื่น และรู้สึกด้วยความรู้สึกของผู้อื่น”
         ผู้ที่มีความเมตตาสูงสุดก็คือพระเจ้านั่นเอง  เพราะพระองค์ทรงส่งพระบุตรแต่เพียงองค์เดียวลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อพระบุตรจะได้มองแบบมนุษย์ คิดแบบมนุษย์ และรู้สึกแบบมนุษย์
         ด้วยเหตุนี้ พระบุตรจึงทรงรู้จักและเข้าใจชีวิตมนุษย์อย่างถ่องแท้ และสามารถเป็นที่พึ่งของเราได้ในทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม
         อาศัยความเมตตาและการรู้จักคิดถึงหัวอกของผู้อื่นนี้เอง ที่ทำให้เราดำรงชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะเราต่างเอาใจใส่ (care) และคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่นก่อนคิดถึงความรู้สึกของตนเอง

    พระเยซูเจ้าทรงรักมารธาและมารีย์  และทั้งสองต่างก็รักพระองค์สิ้นสุดหัวใจ
     เพียงแต่ว่า มารีย์เท่านั้นที่คิดถึงหัวอกของพระองค์ !