ข่าวดี มัทธิว 28:16-20
(16)บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดไว้ (17)เมื่อเขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่ (18)พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า “พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา (19) เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต (20) จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”
นี่คือปัจฉิมวาจาของพระเยซูเจ้า !
เป็นวาจาสุดท้ายที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เพราะพระองค์ไม่ได้กล่าววาจานี้ก่อน “ตาย” อย่างผู้พ่ายแพ้ แต่กล่าวก่อน “เสด็จขึ้นสวรรค์” อย่างผู้มีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง
วาจาสุดท้ายของพระองค์ประกอบด้วย 3 ประเด็นสำคัญ กล่าวคือ
1. พระองค์ทรงยืนยันกับพวกสาวกถึงอำนาจของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา” (ข้อ 18)
บางคนอาจส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ที่พระองค์ลงเอยด้วยน้ำเน่าเหมือนมนุษย์ทั่วไป คือทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อ “อำนาจ” นี่เอง
แต่อำนาจของพระองค์แตกต่างจากอำนาจที่เรามนุษย์แสวงหา !
ตัวอย่างที่เราพบเห็นจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้วคือ พวกนักการเมืองพยายามทุกวิถีทางที่จะมีอำนาจ เริ่มตั้งแต่โกงเลือกตั้ง เมื่อได้รับเลือกตั้งก็แย่งกันเป็นรัฐมนตรี หากพลาดตำแหน่งรัฐมนตรี ขอให้ได้เป็นประธานกรรมาธิการของรัฐสภา หรือตำแหน่งอื่นใดทางการเมืองก็ยังดี เพราะ “อำนาจ” ทำให้ตัวเขาและพวกพ้อง “ได้รับผลประโยชน์”
แต่อำนาจของพระเยซูเจ้าเป็น “อำนาจเหนือความตาย” และพระองค์ทรงใช้อำนาจนี้ไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง แต่ “เพื่อช่วยเรามนุษย์ทุกคน” ให้เอาชนะความตายและมีชีวิตนิรันดรเหมือนกับพระองค์
ในเมื่อความตายพระองค์ยังพิชิตได้ จะมีอะไรอีกหรือที่อยู่นอกเหนือความสามารถและอำนาจของพระองค์ ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินก็ตาม ?
แล้วเรายังต้องกลัวอะไรอีก ในเมื่อเราคือผู้รับใช้ของเจ้านายที่มีอำนาจชนิดปราศจากข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นนี้ ?
2. พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจแก่สาวกของพระองค์ “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา” (ข้อ 19)
นี่คือสุดยอดของภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายแก่สาวกและพวกเราทุกคน นั่นคือ “ทำให้โลกเป็นศิษย์ของพระองค์”
พระองค์ต้องการศิษย์ไม่ใช่เพราะต้องการชื่อเสียงหรือเกียรติยศ แต่เป็นเพราะพระองค์ต้องการช่วยศิษย์ให้รอด และมีชีวิตเหมือนพระองค์
พระบิดาทรงส่งพระองค์มาในโลก ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้เอง
3. พระองค์ทรงสัญญากับสาวกว่าจะอยู่กับพวกเขา “จงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”
พวกสาวกทั้ง 11 คนคงหวั่นใจไม่น้อย พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชาวประมงพื้นบ้านธรรมดา ๆ ไม่มีความรู้สูงส่ง ไม่มีฐานะทางสังคม อยู่ ๆ พระเยซูเจ้ากลับมอบภารกิจยิ่งใหญ่สุดยอดในการทำให้มนุษย์ทั้งโลกเป็นศิษย์ของพระองค์
แต่ทันทีที่คำสั่งออกมา คำสัญญาก็ตามมาด้วย พวกสาวกจะไม่ทำภารกิจยิ่งใหญ่นี้ตามลำพัง แต่จะมีพระองค์ประทับอยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดไปจนกว่าจะสิ้นพิภพ
พวกเราหลายคนคงเคยหวั่นใจแบบพวกสาวก
- บางคนต้องอยู่ประจำวัดคนเดียว โดยไม่มีผู้ช่วย
- บางคนต้องสอนคำสอนคนเดียว
- บางคนได้รับมอบหมายจากครูใหญ่ให้ดูแลงานด้านจริยธรรมตามลำพัง ฯลฯ
นับจากนี้ไป เราไม่ต้องหวั่นกลัวอีกแล้ว เพราะเราไม่ได้ทำงานตามลำพัง แต่เรามีพระเยซูเจ้าผู้มีอำนาจเต็มทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน อยู่กับเราและช่วยเหลือเราตลอดไป จนสิ้นพิภพ.........
ลำพังพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์เดียวก็มีอำนาจอาชญาสิทธิ์เต็มทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินแล้ว กระนั้นก็ตาม วันนี้พระองค์ยังทรงยืนยันและสั่งการให้เราประกาศข่าวดีและช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยศีลล้างบาป ไม่ใช่ในพระนามของพระองค์เพียงผู้เดียว
แต่พระองค์ทรงสั่งให้เรากระทำในพระนามของ “พระบิดา พระบุตร และพระจิต” (ข้อ 19)
สาเหตุเป็นเพราะทั้งพระบิดา พระบุตร และพระจิต ทรงเป็น “หนึ่งเดียวกันในความรัก” ชนิดแยกจากกันไม่ได้
ทั้งสามพระบุคคลทรงเป็น “พระตรีเอกภาพ”
ในเมื่อ “ความรัก” คือสายสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดพระตรีเอกภาพ เราจะสมโภชพระตรีเอกภาพอย่างมีความหมายได้อย่างไร ….
หากหัวใจของเรา “ไม่มีรัก” ?