มธ 8:1-4 พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนโรคเรื้อน
8 (1)เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขา ประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ (2)ทันใดนั้น คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ กราบลงทูลว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ก็ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” (3)พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” โรคเรื้อนก็หายไปทันที (4)พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาอีกว่า “ระวัง อย่าบอกให้ใครรู้เลย จงไปแสดงตนแก่สมณะและถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นพยานหลักฐานแก่คนทั้งหลาย”
มธ.8:1-4 ในสมัยโบราณโรคเรื้อนเป็นโรคที่น่ากลัวที่สุด อี.ดับเบิล.จี มาสเตอร์แมน เขียนไว้ว่า “ไม่มีโรคอื่นที่ทำให้มนุษย์ดูน่าเกลียดเท่าโรคนี้”
โรคเรื้อนเริ่มด้วยเป็นไตแข็งๆ เล็ก ๆ ซึ่งต่อมาก็เป็นหนอง น้ำหนองไหล ขนคิ้วร่วง ตาจ้องเฉย เอ็นในลำคอเป็นหนอง เสียงแหบ เวลาหายใจมีเสียง มือและเท้าเป็นหนองอยู่เสมอ หนองพุพองลามไปช้า ๆ ระยะเวลาเฉลี่ยของโรคเรื้อนชนิดนี้กินเวลา 9 ปี จบลงด้วยหัวสมองเสีย ในที่สุดก็ถึงแก่ความตาย
โรคเรื้อนอาจจะเริ่มด้วยร่างกายบางส่วนขาดความรู้สึก เป็นเพราะโรคเกิดกับประสาท กล้ามเนื้อเสียไป เอ็ดหดตัวจนมือหงิกงอ แล้วตามมือและเท้าก็เป็นแผลมีหนอง จนกระทั่งไม่มีนิ้วมือนิ้วเท้า ผลที่สุดมือและเท้าหลุดออก โรคเรื้อนชนิดนี้อยู่ได้ยี่สิบถึงสามสิบปี โรคนี้น่ากลัวคนเป็นโรคนี้อาจตายเมื่อไรก็ได้
สภาพร่างกายของคนโรคเรื้อนน่ากลัวมาก แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้โรคร้ายหนักขึ้น โยเซฟุสบอกเราว่า “คนทั้งหลายถือว่าคนโรคเรื้อนเป็นเหมือนคนตาย” ทันทีที่เขาวินัจฉัยว่าเป็นโรคเรื้อนก็จะขับไล่คนเป็นโรคเรื้อนออกจากสังคม “เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย” (ลวต.13:46) “คนโรคเรื้อนต้องสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดปิดริมฝีปากบน เมื่อเดินไปก็จะต้องไปด้วยว่า ไม่สะอาด ไม่สะอาด” (ลวต.13:45) ในสมัยกลาง ถ้าใครเป็นโรคเรื้อนนักบวชจะสวมเครื่องแบบถือกางเขน นำชายนั้นไปโบสถ์ทำพิธีฝังศพให้ เพราะถือว่าคนนั้นเท่ากับตายแล้ว
ในประเทศปาเลสไตน์ในสมัยพระเยซูเจ้า เขาให้คนโรคเรื้อนออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มและจากเมืองที่มีกำแพงล้อม ในศาลาธรรมเขาจะจัดห้องเล็ก ๆ ไว้ให้ต่างหาก ห้องนั้นสูง 10 ฟุต กว้าง 6 ฟุต เรียกว่า “Mechitsal” มีบทบัญญัติมากมายที่กล่าวถึงการสัมผัสกับสิ่งที่มีมลทิน 61 ประการและก็รวมการสัมผัสกับโรคเรื้อนไว้ด้วยอยู่ในข้อที่สอง ข้อที่หนึ่งเป็นสัมผัสกับคนตาย ถ้าคนโรคเรื้อนโผล่หน้าเข้าไปในบ้านใด บ้านนั้นก็จะมีมลทินไปจนกระทั่งจั่วบ้าน แม้แต่ในที่โล่งการต้อนรับคนโรคเรื้อนก็ผิดกฎหมาย ไม่มีใครเข้าใกล้คนโรคเรื้อนได้มากกว่า 6 ฟุต ถ้าคนโรคเรื้อนยืนอยู่เหนือลม ต้องยืนห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 34 ฟุต อาจารย์ชาวยิวจะไม่ยอมกินไข่ที่ซื้อตามถนนที่คนโรคเรื้อนเดินผ่าน อาจารย์ชาวยิวคนหนึ่งจะคุยอวดว่าเขาเองเอาก้อนหินขว้างคนโรคเรื้อนเพื่อให้อยู่ห่างๆ เขา ส่วนอาจารย์ชาวยิวคนอื่น ๆ ซ่อนตัวให้พ้นหรือยกส้นเท้าให้เมื่อเห็นคนโรคเรื้อน แม้ว่าจะอยู่ไกลก็ตาม
ไม่มีโรคใดที่แยกคนออกจากันได้เท่าโรคเรื้อน คนเป็นโรคเรื้อนแหละที่พระเยซูเจ้าทรงแตะต้อง สำหรับชาวยิวไม่มีประโยคไหนในพันธสัญญาใหม่จะน่าแปลกใจเท่าถ้อยคำที่กล่าวง่าย ๆ ว่า “แล้วพระเยซูเจ้าทรงเหยียดพระหัตถ์ออกแตะต้องคนโรคเรื้อน”
ความเมตตาสงสารอยู่เหนือบทบัญญัติ
ในเรื่องนี้เราต้องพิจารณาดูสองประการคือ คนโรคเรื้อนเข้าไปหาพระเยซูเจ้า และพระองค์ทรงตอบรับเขา เมื่อคนโรคเรื้อนเข้าไปหาพระเยซูเจ้านั้น มีเหตุผลสามประการคือ
1) คนโรคเรื้อนมาด้วยความมั่นใจ เขาไม่สงสัย ถ้าพระเยซูเจ้าพอพระทัยรักษาเขา พระองค์ก็ทรงทำให้เขาหายได้
ไม่มีคนโรคเรื้อนคนใดจะเข้าใกล้ธรรมาจารย์หรือาจารย์ชาวยิวได้ เขารู้ดีว่าเขาจะต้องถูกเอาหินขว้าง แต่ชายคนนี้มาหาพระเยซูเจ้า เขามั่นใจเต็มที่ว่าพระองค์พอพระทัยจะต้อนรับผู้ที่คนอื่นขับไล่ คนทั้งปวงไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกว่าตนเองสกปรกเกินไปที่จะมาหาพระองค์
เขามั่นใจเต็มที่ในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ โรคเรื้อนเป็นโรคหนึ่งที่อาจารย์ชาวยิวกำหนดไว้ว่าไม่มีทางแก้ไขรักษาให้หาย แต่ชายผู้นี้แน่ใจว่าพระเยซูเจ้าสามารถทำสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้ ไม่มีคนใดจะรู้สึกว่าร่างกายตนรักษาให้หายไม่ได้หรือจิตใจตนจะไม่ได้รับการอภัยบาป ตราบเท่าที่เขาอยู่กับพระองค์
2) คนโรคเรื้อนมาหาด้วยความรู้สึกว่าตนต่ำต้อย เขาไม่ได้มาเรียกร้องให้รักษาเพียงแต่พูดว่า “ถ้าท่านต้องการช่วยผม โปรดให้ผมหายจากโรคเรื้อนด้วยเถิด” เหมือนดังเขาจะพูดว่า “ผมรู้ว่าไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคนอื่นจะหนีไปไม่เกี่ยวข้องกับผม ผมรู้ว่าผมไม่อาจเรียกร้องเอาจากท่านได้ บางทีพระองค์จะทรงฤทธิ์อำนาจรักษาคนเช่นผม” ดวงใจที่ถ่อมตนไม่คิดถึงเรื่องอื่น คิดถึงแต่ว่าตนต้องการพระ คริสตเจ้า
3) คนโรคเรื้อนมาด้วยความคารวะ พระคัมภีร์กล่าวว่าเขาเข้ามาคุกเข่าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ คำกิริยาภาษากรีกคือ Proskunein คำนั้นใช้ในทางนมัสการพระเจ้า มักจะบรรยายถึงความรู้สึกและกิริยาที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า คนโรคเรื้อนไม่เคยบอกผู้ใดว่าเขาคิดถึงพระเยซูเจ้าอย่างไร แต่เขารู้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเยซูเจ้าเขาก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องใช้คำทางศาสนศาสตร์หรือทางปรัชญา แต่ถ้อยคำเช่นนี้ก็พอจะยืนยันให้เห็นว่าเมื่อเราเผชิญหน้ากับพระเยซูเจ้า เราก็เผชิญกับความรักและฤทธานุภาพของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ
ดังนั้นเมื่อคนโรคเรื้อนเข้ามาเช่นนี้ เขาก็ได้รับปฏิกิริยาจากพระเยซู เจ้า ประการแรกปฏิกิริยานั้นเป็นความเมตตาสงสาร บทบัญญัติกล่าวว่าพระเยซูเจ้าต้องไม่ติดต่อกับคนที่เป็นมลทิน ต้องอยู่ห่างจากคนโรคเรื้อนหกฟุตขึ้นไป แต่พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกแตะต้องเขา ความรู้ทางการแพทย์สมัยนั้นจะกล่าวว่า พระเยซูเจ้าทรงเสี่ยงต่อการติดโรคอย่างน่ากลัว แต่พระองค์ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะต้องเขา
สำหรับพระองค์แล้ว มีพันธะเพียงประการเดียวในชีวิต คือ ช่วยเหลือ มีกฎหมายเพียงข้อเดียวและกฎหมายนั้นคือ ความรัก พันธะของความรักต้องมาก่อนกฎอื่นทั้งหมด ทำให้พระองค์ท้าทายการเสี่ยงทางร่างกายทั้งหมด สำหรับหมอที่ดีนั้น คนป่วยเป็นโรคที่น่ารังเกียจไม่ใช่ภาพที่น่ารังเกียจ แต่เป็นคนที่ต้องการให้เขาใช้ความสามารถช่วย สำหรับหมอแล้วเด็กป่วยเป็นโรคติดต่อไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ พระเยซูเจ้าก็เป็นเช่นนั้น พระเจ้าก็ทรงเป็นเช่นนั้น คริสตชนแท้จะทำลายระเบียบแบบแผนเพื่อเสี่ยงเข้าช่วยเพื่อนมนุษย์ในยามที่เขาต้องการ
ความรอบคอบที่แท้จริง
ยังมีอีกสองประการในเหตุการณ์นี้ที่แสดงว่า ขณะที่พระเยซูเจ้าท้าทายบทบัญญัติเสี่ยงการติดโรคเพื่อเข้าช่วยเหลือนั้น พระองค์ไม่ได้ทำไปโดยขาดความไตร่ตรองหรือไม่รอบคอบ
1) ทรงสั่งให้ชายนั้นเงียบ ไม่ให้ประกาศให้คนทั่วไปรู้เรื่องที่พระองค์ทรงช่วยเขา คำสั่งเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่พระองค์มักสั่ง (มธ.9:30, 12:16, 17:9 มก.1:34, 5:43 7:36, 8:26) เหตุใดพระองค์จึงสั่งให้เงียบเล่า
ประเทศปาเลสไตน์เป็นประเทศที่ถูกยึดครอง พวกยิวภูมิใจว่าตนเป็นชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เขาใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะเสด็จมาช่วยเขา แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาใฝ่ฝันถึงวันที่ฝ่ายทหารจะมีชัยและมีอำนาจทางการเมือง เพราะเหตุนี้ประเทศปาเลสไตน์จึงเป็นประเทศที่ลุกเป็นไฟได้ง่ายที่สุดในโลก ประเทศมีแต่การปฏิวัติ เปลี่ยนผู้นำคนแล้วคนเล่า รุ่งเรืองอยู่ได้ชั่วคราวแล้วก็ถูกอำนาจโรมไล่ไป ถ้าคนโรคเรื้อนนี้เที่ยวไปประกาศทั่วว่าพระองค์ทรงรักษาเขาประชาชนก็จะพากันมาแต่งตั้งให้พระองค์เป็นหัวหน้าทางการเมืองและเป็นผู้บัญชาการทหาร
พระเยซูเจ้าทรงสอนและเปลี่ยนความคิดของชายนี้ ทำให้เขาเห็นว่าอำนาจของพระองค์นั้นก็คือความรัก ไม่ใช่กำลังอาวุธ พระองค์ต้องทำงานอย่างซ่อนเร้นจนกระทั่งคนทั้งปวงจะรู้จักพระองค์จากที่ทรงเป็นอยู่ว่าเป็นผู้ที่ทรงรัก ไม่ใช่ผู้ทำลายชีวิตมนุษย์ พระองค์ทรงบัญชาให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงช่วยเหลือให้เงียบไว้ เกรงว่าคนทั้งหลายจะใช้พระองค์ทำให้ความฝันของเขาเป็นความจริงขึ้นมา แทนที่จะรอคอยพระเจ้า พวกเขาต้องเงียบสงบอยู่จนกว่าเขาจะรู้จักพูดถึงพระองค์อย่างถูกต้อง
2) พระเยซูเจ้าทรงให้คนโรคเรื้อนไปหาสมณะเพื่อถวายเครื่องบูชา เป็นการกระทำที่ถูกต้องและรับใบรับรองว่าตนสะอาดแล้ว พวกยิวกลัวติดโรคเรื้อนมากจนต้องมีพิธีกำหนดไว้ให้เหตุการณ์ที่ไม่ใคร่จะเกิดขึ้นคือในรายที่รักษาหายแล้ว
พิธีนี้บรรยายไว้ใน ลวต.14 ว่า สมณะจะตรวจดูคนโรคเรื้อน แล้วเอานกสองตัว เอาตัวหนึ่งฆ่าเหนือน้ำที่ไหล เอาไม้สีดาร์ ด้ายสีแดงและต้นหุสบกับนกตัวที่ไม่ได้ฆ่ามาจุ่มลงในเลือดนกที่ฆ่า แล้วปล่อยนกเป็น ๆ ตัวนั้นไป ชายนั้นจะชำระล้างตัวและซักเสื้อผ้า โกนผมกับขนทั้งหมดเสีย เจ็ดวันผ่านไปจึงมาตรวจดูเขาอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้โกนผม โกนขนและโกนคิ้ว ถวายเครื่องบูชาคือลูกแกะตัวผู้สองตัวที่ปราศจากตำหนิและลูกแกะตัวเมียหนึ่งตัว แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสามในสิบส่วนและน้ำมันครึ่งลิตร สมณะจะเอาเลือดและน้ำมันแตะคนโรคเรื้อนที่หายแล้วนี้ที่ปลายหูขวา หัวแม่มือขวา หัวแม้เท้าขวา จะตรวจเขาเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหายจริงก็จะอนุญาตให้ไปได้พร้อมกับออกใบรับรองให้ว่าเขาหายแล้ว
พระเยซูเจ้าทรงบอกให้ชายนี้ไปทำตามพิธีดังกล่าวแล้วนี้ มีข้อแนะนำไว้ที่นี่ด้วย พระองค์ทรงบอกไม่ใช้ชายนี้ละเลยต่อวิธีการที่ใช้กันอยู่ในสมัยนั้น เราจะรับการอัศจรรย์โดยละเลยการรักษาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ไม่ได้ มนุษย์ต้องทำสุดความสามารถของตนพระเจ้าจึงจะร่วมมือกับเขาด้วยความพยายามของเรา การอัศจรรย์จะไม่เกิดขึ้นถ้ามนุษย์จะเกียจคร้านคอยให้พระเจ้าเป็นผู้กระทำแต่ฝ่ายเดียว การอัศจรรย์เกิดขึ้นด้วยการที่มนุษย์ร่วมมือกับพระเจ้าด้วยความศรัทธาและพยายามอย่างเต็มที่และพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเขาอย่างไม่จำกัด