อาทิตย์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา
ข่าวดี มาระโก 1:40-45
พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนเป็นโรคเรื้อน
(40)ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” (41)พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด (42)ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ (43)พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า (44)“ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” (45)แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์
***************************
ในสมัยพระเยซูเจ้า โรคที่น่ากลัวและน่าสมเพชที่สุดคือ “โรคเรื้อน” ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภทด้วยกัน
1. ประเภทผิวหนังเป็นตุ่มหรือก้อนกลม อาการเริ่มแรกคือง่วง เซื่องซึม ปวดตามข้อ ต่อจากนั้นตามร่างกายโดยเฉพาะที่หลังทั้งสองข้างจะเริ่มมีรอยด่างเหมือนรอยปะ และบนรอยเหล่านี้ จะเริ่มมีก้อนกลมสีชมพูซึ่งจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ผิวหนังหนาขึ้นเรื่อย ๆ ก้อนกลมเริ่มไปกระจุกตัวตามแก้ม ซอกจมูก ริมฝีปาก และหน้าผาก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลงจนจำไม่ได้ ก้อนกลม ๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้นและเริ่มแตกเป็นหนองไหลเปรอะเปื้อน ขนตาหลุดร่วง ตาถลึง หายใจดัง เสียงแหบเพราะเส้นเสียงเริ่มเป็นหนอง ที่สุดทั้งแขน ขา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายจะเป็นหนองทั้งหมด
คนที่เป็นโรคเรื้อนประเภทนี้จะมีชีวิตต่อไปได้โดยเฉลี่ย 9 ปี เขากลายเป็นคนที่น่าขยะแขยงที่สุดทั้งสำหรับคนอื่นและสำหรับตัวเอง สุขภาพจิตทรุดโทรมสุด ๆ และมีสภาพไม่ต่างจากคนตายทั้งเป็น
2. ประเภทหมดความรู้สึก อาการเริ่มแรกจะเซื่องซึมและปวดตามข้อเหมือนประเภทแรก แต่เส้นประสาทถูกทำลายจนหมดความรู้สึก ส่วนใหญ่คนป่วยจะไม่รู้ตัวจนกว่าจะโดนไฟหรือน้ำร้อนลวกแล้วไม่รู้สึก จากนั้นอาการจะกำเริบสู่ภายนอกคือเริ่มมีรอยด่างและแผลพุพองตามร่างกาย กล้ามเนื้อหมดแรง เส้นเอ็นหดจนมือเกร็งเหมือนก้ามปู เล็บหลุด เป็นหนองเรื้อรังตามขาและแขน นิ้วมือและนิ้วเท้าเริ่มกุด จนในที่สุดแขนขากุดหมด
คนป่วยประเภทนี้มีอายุได้อีกประมาณ 20-30 ปี แต่ทุก ๆ วินาทีอันแสนทรมานล้วนเป็นการนับถอยหลังไปสู่ความตายทั้งนั้น
3. ประเภทผสมระหว่างแบบที่ 1 และ 2 คือทั้งมีตุ่มตามผิวหนังและเส้นประสาทหมดความรู้สึก โรคเรื้อนประเภทนี้พบมากที่สุด
ทั้งสามประเภทที่กล่าวมาเป็น “โรคเรื้อน” จริง ๆ ตามความหมายของคำที่ใช้ และมีคนเป็นโรคเรื้อนจริง ๆ ในปาเลสไตน์สมัยพระเยซูเจ้าจำนวนมาก
แต่จากหนังสือเลวีนิติบทที่ 13 แสดงให้เห็นว่า “โรคเรื้อน” หมายรวมถึง “โรคผิวหนัง” ชนิดอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่นโรคผิวหนังสะเก็ดขาวก็เรียกรวมกันว่าโรคเรื้อนที่ขาวเหมือนหิมะ สำหรับชาวยิว “ถ้าผู้ใดมีแผลที่ผิวหนัง เป็นฝี เป็นผื่น หรือพุพอง ซึ่งอาจลามเป็นโรคผิวหนังติดต่อได้” (ลนต 13:2) ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเป็นโรคเรื้อน ต้องนำไปให้อาโรนหรือผู้สืบทอดตำแหน่งตรวจสอบ และด้วยความรู้ทางการแพทย์ในสมัยนั้น พวกเขาไม่มีทางแยกแยะโรคเรื้อนออกจากโรคผิวหนังได้เลย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโรคเรื้อนจริง หรือเป็นเพียงโรคผิวหนัง กฎหมายกำหนดให้พวกเขาต้องอาศัยอยู่นอกค่ายตามลำพัง สวมเสื้อผ้าฉีกขาด โกนผม มีผ้าคลุมถึงริมฝีปากบน เวลาจะไปไหนให้ร้องตะโกนว่า “มีมลทิน ไม่สะอาด ไม่สะอาด”
ในยุคกลางมีการประยุกต์ใช้กฎหมายของโมเสสโดย พระสงฆ์สวมสโตลาพร้อมกับกางเขนแห่ นำคนเป็นโรคเรื้อนเข้าวัดแล้วทำพิธีปลงศพให้เขา พวกเขาต้องสวมชุดสีดำเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเป็นโรคเรื้อน ห้ามเข้าวัดร่วมกับสัตบุรุษอื่น แต่เมื่อพิธีกรรมเริ่มแล้วสามารถแอบดูตามรูที่เจาะไว้ข้างผนังได้ พวกเขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่จัดไว้สำหรับคนเป็นโรคเรื้อนหรือโรคที่น่ารังเกียจเท่านั้น
นอกจากร่างกายจะเจ็บปวดทรมานเพราะโรคแล้ว จิตใจของพวกเขายังโดดเดี่ยวเหี่ยวแห้งแตกระแหงไปหมด ไหนจะต้องถูกขับไล่ออกจากสังคมมนุษย์ ไหนจะต้องถูกบุคคลอันเป็นที่รักรังเกียจและพยายามหลบหลีกพวกเขา
แม้จะยังมีลมหายใจ แต่พวกเขาตายแล้วจริง ๆ !!!
คนเป็นโรคเรื้อนจริง ๆ ไม่มีทางรักษาให้หาย เว้นแต่จะมีอัศจรรย์ และในกรณีที่เกิดรักษาหายขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ในหนังสือเลวีนิติบทที่ 14 ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
เขาต้องไปให้สมณะตรวจสอบ พร้อมกับนำนกไม่มีมลทินสองตัว ไม้สนสีดาห์ ผ้าแดงเข้ม และกิ่งหุสบมาด้วย นกตัวหนึ่งจะถูกฆ่าโดยมีหม้อดินใส่น้ำจากลำธารรองรับเลือด แล้วสมณะจะนำนกอีกตัวหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่พร้อมกับไม้สนสีดาห์ ผ้าสีแดงเข้ม และกิ่งหุสบจุ่มลงไปในน้ำที่ปนเลือดนก ประพรมเลือดนกเจ็ดครั้งและปล่อยนกที่ยังมีชีวิตอยู่ให้บินออกไปในทุ่ง ต่อจากนั้นเขาต้องซักเสื้อผ้า โกนผมและขนออกให้หมด อาบน้ำ แล้วจึงได้รับอนุญาตให้กลับเข้าไปในค่าย
หลังจากเจ็ดวันแล้ว เขาต้องโกนผม โกนหนวดเครา ขนคิ้ว และเส้นขนอื่น ๆ ออกให้หมด ซักเสื้อผ้า อาบน้ำ แล้วให้สมณะตรวจสอบใหม่อีกครั้ง
หากผ่านการตรวจ ในวันที่แปด เขาต้องนำลูกแกะที่ไม่พิการอายุหนึ่งปี เพศผู้สองตัว เพศเมียหนึ่งตัว พร้อมกับธัญบูชา คือแป้งสาลีอย่างดีหกกิโลกรัมผสมน้ำมันมะกอก และน้ำมันมะกอกอีกประมาณครึ่งลิตร ถวายเป็นเครื่องบูชาชดเชย และเครื่องบูชาเพื่อขออภัยบาป สมณะจะนำเลือดลูกแกะและน้ำมันมะกอกมาป้ายติ่งหูข้างขวา นิ้วหัวแม่มือข้างขวา และนิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาของเขา หลังจากนั้นสมณะจะออกใบรับรองว่าเขาพ้นมลทินแล้ว
จากอัศจรรย์ครั้งนี้ เราพบว่า
1. พระเยซูเจ้าไม่ทรงขับไล่คนที่ละเมิดกฎหมาย คนเป็นโรคเรื้อนไม่มีสิทธิ์อะไรตามกฎหมายที่จะเข้ามาหาและสนทนากับพระองค์
แต่พระองค์พร้อมต้อนรับมนุษย์ทุกคนที่สิ้นหวัง ด้วยพระทัยที่เข้าใจและเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร
2. พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา และรักษาเขาให้หายโดยปราศจากความรังเกียจใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีผู้ใดสกปรกในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์มองเห็นแต่ความต้องการชนิดจนตรอกของเราแต่ละคน
3. พระองค์สั่งให้เขาทำตามที่โมเสสกำหนด พระองค์พร้อมปฏิบัติตามกฎหมายและยอมรับความชอบธรรมตามประสามนุษย์
พระองค์ไม่ใช่คนที่ดื้อรั้นและชอบฝ่าฝืนกฎหมายแบบไม่ยั้งคิด
ทั้งความเมตตา ทั้งฤทธิ์อำนาจ ทั้งความปรีชารอบคอบ ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในพระเยซูเจ้าผู้เป็นที่รักของเราแต่เพียงพระองค์เดียว !