แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันสมโภชปัสกา

ข่าวดี    ยอห์น 20:1-9
(1)เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหินถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว  (2)นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูเจ้าทรงรักบอกว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน”  (3)เปโตรกับศิษย์คนนั้นจึงออกไป มุ่งไปยังพระคูหา  (4)ทั้งสองคนวิ่งไปด้วยกัน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร จึงมาถึงพระคูหาก่อน  (5)เขาก้มลงมองเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่บนพื้น แต่ไม่ได้เข้าไปข้างใน  (6)ซีโมนเปโตรซึ่งตามไปติด ๆ ก็มาถึง เข้าไปในพระคูหาและเห็นผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้น  (7)รวมทั้งผ้าพันพระเศียรซึ่งไม่ได้วางอยู่กับผ้าพันพระศพ แต่พับแยกวางไว้อีกที่หนึ่ง  (8)ศิษย์คนที่มาถึงพระคูหาก่อนก็เข้าไปข้างในด้วย เขาเห็นและมีความเชื่อ  (9)เขาทั้งสองคนยังไม่เข้าใจพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ต้องทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย


    หลังจากฝังศพแล้ว ชาวยิวมักไปเยี่ยมหลุมศพอีกสามวันเพราะเชื่อกันว่าวิญญาณของผู้ตายยังคงวนเวียนอยู่เหนือหลุมศพ เพื่อหาทางกลับเข้าร่างของผู้ตาย  หลังจากสามวันแล้ววิญญาณจะจากไปแบบไม่มีวันกลับ เพราะศพเริ่มเน่าเปื่อยจนวิญญาณไม่อาจจำใบหน้าของผู้ตายได้อีกต่อไป
    มารีย์ชาวมักดาลาคือสตรีที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาให้พ้นจากปีศาจร้ายเจ็ดตน และหายจากโรคภัยไข้เจ็บ (ลก 8:2)
นางได้รับมาก จึงรักมาก !

    ตั้งแต่เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด นางรีบออกไปเยี่ยมพระคูหาของผู้ที่นางรัก (ยน 20:1)
แม้พระศพจะถูกฝังในพระคูหาตั้งแต่เย็นวันศุกร์  แต่รุ่งขึ้นเป็นวันสับบาโตซึ่งห้ามการเดินทาง นางจึงต้องอดใจรออีกหนึ่งวันจนถึงเช้าตรู่ของวันอาทิตย์
    ชาวยิวแบ่งกลางคืนออกเป็นสี่ยาม เริ่มจากหกโมงเย็นจนถึงหกโมงเช้าของอีกวันหนึ่ง  คำ “เช้าตรู่” ในภาษากรีกหมายถึง “ยามที่สี่” ซึ่งตกราวตีสามถึงหกโมงเช้าซึ่งยังมืดอยู่
    หัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักเร่งเร้านางให้รีบไปหาพระองค์ตั้งแต่ยังไม่สว่าง !
    “ความรัก” ทำให้นางอดใจรอจนสว่างไม่ได้ !
    แต่เมื่อมาถึงพระคูหา นางต้องตกใจสุดขีด เพราะหินปิดคูหาถูกเคลื่อนออกไปและข้างในไม่มีพระศพ ทั้ง ๆ ที่ “บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจัดการเฝ้าพระคูหาอย่างเข้มงวด โดยประทับตราที่หินปิดทางเข้าและวางยามไว้” (มธ 27:66)
    ความคิดของนางขณะนั้นคือ คงมีชาวยิวบางคนขโมยพระศพไปประจาน เพราะยังไม่สะใจกับการจับพระองค์ไปตรึงกางเขน
    หรือไม่ก็คงมีขโมยที่หากินกับศพมาลักพระศพของพระองค์ไป !
เมื่อไม่พบพระศพ  นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับยอห์นบอกว่า “เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเขานำพระองค์ไปไว้ที่ไหน” (ยน 20:2)
ทั้งเปโตรและยอห์นรีบวิ่งไปที่พระคูหาทันที  เมื่อเข้าไปในพระคูหา สิ่งที่ทั้งสองพบและเห็นตามที่เราเข้าใจคือ
        - พระศพเคยวางอยู่บนแท่นหินที่สูงกว่าพื้น
        - บัดนี้ ผ้าพันพระศพถูกรื้อออก และวางอยู่ที่พื้น (ยน 20:6)
        - ส่วนผ้าพันศีรษะพับวางไว้ต่างหาก (ยน 20:7)
    แต่ต้นฉบับภาษากรีกใช้คำ “keimai” (เคิยมาย) ซึ่งแปลว่า “นอน วาง ตั้งอยู่”  และพระคัมภีร์ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษหลายฉบับ เช่น ASV, ESV, NAB, NAU, NIB, NIV, NJB, NKJ, RSV ต่างใช้คำว่า “rolled up” หรือ “folded up” ซึ่งบ่งบอกว่าทั้งผ้าลินินที่ใช้พันพระศพ (ยน 20:6) และผ้าที่ใช้พันศีรษะ (ยน 20:7) ถูก “ม้วน” หรือ “ห่อ” อยู่
     นอกจากนั้น ต้นฉบับยังกล่าวเพียงว่าผ้าพันพระศพวางอยู่ “ที่นั่น”  โดยไม่มีข้อความใดบ่งบอกว่าผ้าพันพระศพวางอยู่ที่พื้นเลย !
    ภาพที่ได้จากการบรรยายของยอห์นจึงออกมาดังนี้  ทั้งผ้าพันพระศพและผ้าพันพระเศียรวางตั้งอยู่ที่เดิมตรงที่เคยวางพระศพของพระเยซูเจ้า ไม่มีการรื้อผ้าพันพระศพและผ้าพันพระเศียรออก แล้วกองทิ้งไว้ที่พื้น
     ราวกับว่าพระศพได้ระเหยกลายเป็นไอหายไปในอากาศ  ทิ้งให้ผ้าพันพระศพและผ้าพันพระเศียรม้วนตั้งอยู่ในรูปเดิม  เหมือนงูลอกคราบจนเหลือแต่คราบงูทิ้งไว้
    นี่คือสิ่งแรกที่ยอห์นเห็นและคิด !
    สิ่งที่สองที่ยอห์นคิดคือ จะมีขโมยคนใดโง่ขนาดลักศพไปโดยรื้อและทิ้งผ้าห่อศพไว้ ?  ไหนจะเสียเวลา ไหนจะสกปรก และไหนจะเหม็น
    ทั้งสองสิ่งนี้ไม่มีเขียนทำนายไว้ในพระคัมภีร์  แต่เป็นสิ่งที่ “ยอห์นเห็นด้วยตาของตนเอง และเชื่อ” (ยน 20:8)
    ยอห์นเชื่อว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย

    นับว่า “ความรัก” มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในเช้าวันปัสกานี้
    มารีย์ชาวมักดาลารักพระเยซูเจ้ามาก  นางจึงเป็นคนแรกที่มาถึงพระคูหา และพบว่าพระคูหาว่างเปล่า
    ยอห์นเป็นศิษย์ที่พระเยซูเจ้าทรงรักมาก และยอห์นก็รักพระองค์มากด้วย  ยอห์นจึงได้รับเกียรติให้เป็นบุคคลแรกที่เชื่อว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย            - ความรัก ทำให้ดวงตาของยอห์นมองเห็นเครื่องหมาย
        - ความรัก ทำให้สติปัญญาของยอห์นเข้าใจเครื่องหมายที่เห็น
        - ความรัก ทำให้ยอห์นเชื่อสิ่งที่เขาเข้าใจ
    เราจึงได้ “หลักการ” ว่า “ปราศจากความรัก เราไม่มีทางเข้าใจผู้อื่นได้เลย”
    เพราะ “ความรัก” คือ “ล่าม” ที่ช่วยแปล (ไม่ใช่ “แปร”) ความคิดของผู้อื่นได้ดีที่สุด
     เพราะ “ความรัก” ทำให้เรา “เข้าถึง” ความจริง ในขณะที่สติปัญญาทำได้เพียงชี้ทางไปสู่ความจริงเท่านั้น  
และที่สำคัญ “ความรัก” ทำให้เรา “เข้าใจ” ความหมายของความจริงที่ค้นพบ
ด้วยเหตุนี้....
    เราไม่มีทางรู้จักและเข้าใจพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนม์ชีพได้เลย และไม่มีทางเลยที่จะทำให้ผู้อื่นรู้จักและเข้าใจพระองค์....
หากเราไม่รักพระองค์....!!!