อาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา
ข่าวดี มัทธิว 22:34-40
บทบัญญัติเอก
(34)เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน (35)มีคนหนึ่งเป็นบัณฑิตทางกฎหมายได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า (36)“พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า (37) “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน (38) นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก (39) บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง (40) ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”
พวกสะดูสีเป็นชนชั้นปกครอง ร่ำรวย แนบแน่นกับโรม นิยมความคิดแบบกรีก แต่อนุรักษ์นิยมสุดโต่งในเรื่องความเชื่อทางศาสนา พวกเขาไม่ยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ดังเช่นคำสอนของบรรดาประกาศก ตลอดจนธรรมประเพณีต่าง ๆ (Oral and Scribal Laws) ซึ่งพวกฟาริสีถือว่าสำคัญสุดยอด
พวกเขายอมรับพระธรรมเก่าเฉพาะห้าเล่มแรก (ปัญจบรรพ) เท่านั้น ผลที่ตามมาคือพวกเขาไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพของผู้ตายเพราะหาข้อพิสูจน์จากหนังสือห้าเล่มแรกนี้ไม่ได้
พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามพวกเขาว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระวาจา ที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านหรือว่า เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น” (มธ 22:31-32)
พระองค์เป็นคนแรกที่นำข้อความจากหนังสือปัญจบรรพมาอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ว่าอับราฮัม อิสอัค และยาโคบได้กลับคืนชีพหลังความตายแล้ว
นับเป็นความชาญฉลาดชั้นเลิศของพระองค์ !
พวกฟาริสีคงนึกชมชอบอยู่ในใจที่พระองค์ช่วยกำราบคู่ปรปักษ์ทางความคิดอย่างเช่นพวกสะดูสีลงได้
แต่ความชื่นชมนี้ก็ไม่อาจหยุดยั้งความประสงค์ร้ายของพวกเขาได้ พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันเพื่อหาทางจับผิดพระองค์อีก
ครั้งนี้พวกเขาส่งบัณฑิตทางกฎหมายมาถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ”
พวกฟาริสีถกเถียงกันว่าในบรรดาธรรมบัญญัติ 613 ข้อ ซึ่งแยกออกเป็นประเภทสั่งให้ทำ 248 ข้อ และประเภทสั่งห้ามทำอีก 365 ข้อนั้น ข้อใดสำคัญที่สุด ?
บางคนยืนยันว่าการสวมพู่ห้อยที่ชายเสื้อสำคัญที่สุด !
พวกเขาหวังว่าหากพระองค์ร่วมวงถกเถียงด้วย บางทีพระองค์อาจตกหลุมพรางเสนอทฤษฎีที่ไม่เข้าท่าบ้าง พวกเขาก็จะฟ้องพระองค์ข้อหาหมิ่นประมาทศาสนาหรือพระเจ้าได้
แต่ไม่ว่าแผนการของพวกเขาจะเป็นเช่นใด คำถามดังกล่าวได้นำไปสู่คำจำกัดความที่สมบูรณ์แบบของคำว่า “ศาสนา”
สำหรับพระเยซูเจ้า ศาสนาที่แท้จริงต้องมีองค์ประกอบ 2 ประการ กล่าวคือ
1. รักพระเจ้า องค์ประกอบนี้พระองค์ทรงนำมาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 6 ข้อที่ 5 ซึ่งระบุว่า “ท่านจะต้องรักพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน สุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดกำลังของท่าน”
ข้อความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “เชมา” (Shema) ซึ่งประกอบด้วยพระคัมภีร์ 3 ตอนสั้น ๆ (ฉธบ 6:4–9; 11:13–21; กดว 15:37–41) ที่ชาวยิวถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของความเชื่อ ชาวยิวทุกคนต้องสวด “เชมา” ทุกเช้าและทุกเย็น และนี่คือสิ่งแรกที่เด็กยิวทุกคนสามารถท่องจำได้
พระองค์ทรงนำสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของศาสนายิวมาดัดแปลงจาก “สุดกำลัง” เป็น “สุดสติปัญญา” เพื่อเตือนพวกฟาริสีให้เลิกเล่น “เกมลับสมอง” ด้วยการคิดค้น ตีความ หรือประดิษฐ์กฎระเบียบใหม่ ๆ จากพระคัมภีร์
สำหรับพระองค์ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราต้องทุ่มเทสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา คือ “รักพระเจ้า” นั่นคือ เราต้องมอบความรักทั้งหมดของเราแด่พระเจ้า
- ความรักที่มีอำนาจเหนืออารมณ์และความรู้สึกของเรา
- ความรักที่นำทางความคิดและทัศนคติของเรา
- และความรักที่เป็นพลังขับเคลื่อนการกระทำทั้งปวงของเรา
“ความรักที่ทำให้เรามอบถวายชีวิตของเราทั้งครบแด่พระเจ้า” เช่นนี้เอง ที่พระองค์ตรัสว่า “นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก” (ข้อ 38)
แปลว่า “การรักพระเจ้า” นอกจากจะสำคัญที่สุด (เป็นเอก) แล้ว ยังต้องมาก่อนบัญญัติอื่นใดทั้งหมด !
2. รักเพื่อนมนุษย์ องค์ประกอบที่สองนี้พระองค์ทรงนำมาจากหนังสือเลวีนิติบทที่ 19 ข้อที่ 18 “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
ความรักต่อพระเจ้าต้องแสดงออกด้วยการรักมนุษย์ !
และ ต้องรักพระเจ้าก่อนเท่านั้น จึงจะรักเพื่อนมนุษย์ได้
เหตุผลคือ พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเลยว่ามนุษย์ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรือดีเอ็นเอของมนุษย์เป็นอะไร แต่สิ่งที่พระคัมภีร์สอนคือ “มนุษย์ถูกสร้างมาตามฉายาของพระเจ้า” (ปฐก 1:26, 27)
หากเราไม่รักพระเจ้า เราจะรักฉายาของพระองค์ซึ่งก็คือมนุษย์ได้อย่างไร ?
ความรักต่อพระเจ้าจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความรักต่อเพื่อนมนุษย์ !
นักบุญยอห์นจึงกล่าวว่า “ถ้าผู้ใดพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้” (1 ยน 4:20)
เราอาจกล่าวได้ว่า พระเยซูเจ้าคืออาจารย์ท่านแรกที่นำ “ความรักต่อพระเจ้า” และ “ความรักต่อเพื่อนมนุษย์” มาเชื่อมสัมพันธ์กัน
ก่อนหน้านี้ พวกฟาริสีรู้จักแต่ “รักพระเจ้า” และ “รักกฎหมาย”
เมื่อเรารักเพื่อนมนุษย์ การเคารพและยอมรับสิทธิรวมถึงหน้าที่ของเพื่อนมนุษย์ก็เป็นไปได้ ประชาธิปไตยก็ย่อมเกิดขึ้นได้ การตรากฎหมายตามมติของคนส่วนใหญ่ก็เป็นไปได้
ความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์จึงเป็นพื้นฐานของกฎหมายอื่น ๆ ทั้งมวล
ดังที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”
เพราะฉะนั้น หากเราไม่รักพระเจ้าและไม่รักเพื่อนมนุษย์ กิจการอื่น ๆ เป็นได้ก็เพียงการสร้างภาพ !