แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

chaiya1

อาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา


ข่าวดี    ยน 6:41-51
    เวลานั้น  41ชาวยิวบ่นพึมพำไม่เห็นด้วยกับพระเยซูเจ้า ที่ตรัสว่า “เราเป็นปังซึ่งลงมาจากสวรรค์”  42เขาพูดกันว่า “คนคนนี้ไม่ใช่ เยซู บุตรของโยเซฟหรือ เรารู้จักทั้งบิดาและมารดาของเขาดี แล้วเขาพูดได้อย่างไรว่า เราลงมาจากสวรรค์”  43พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เลิกบ่นพึมพำกันเสียทีเถิด”  44“ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขา
และเราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย  45มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาประกาศกว่า ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา  46ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า  47เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเรา ก็มีชีวิตนิรันดร  48เราเป็นปังแห่งชีวิต  49บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานนาในถิ่นทุรกันดาร แล้วยังตาย  50แต่ปังที่ลงมาจากสวรรค์เป็นอย่างนี้ คือผู้ที่กินปังนี้แล้วจะไม่ตาย  51เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต”

******************************

ในสมัยโบราณ ผู้คนถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าด้วยการเผาสัตว์เพียงบางส่วน แล้วมอบส่วนที่ไม่ได้เผาให้แก่พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีจำนวนหนึ่ง ที่เหลือทั้งหมดคืนแก่ผู้ถวายบูชาเพื่อทำอาหารรับประทานร่วมกันกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงภายในบริเวณพระวิหาร โดยมีพระเจ้าของตนเป็นแขกรับเชิญ
พวกเขาเชื่อว่า เมื่อเผาส่วนหนึ่งของสัตว์เป็นเครื่องบูชาแล้ว พระเจ้าจะเสด็จมาประทับในสัตว์ทั้งตัวซึ่งรวมถึงส่วนที่นำมาทำอาหารด้วย ดังนั้นผู้ที่กินเนื้อสัตว์ซึ่งถวายบูชาแล้วก็เท่ากับกำลังกิน “เลือดเนื้อของพระเจ้า”  ซึ่งจะทำให้ชีวิตของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเจ้า  พวกเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และกลับออกไปจากพระวิหารพร้อมกับจิตใจและพละกำลังของพระเจ้า !!

    เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นปังทรงชีวิต ที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเราเพื่อให้โลกมีชีวิต” (ยน 6:51) ชาวยิวจึงเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นอย่างดี  พวกเขาไม่สะดุดใจเรื่องกินเนื้อของพระเจ้าแต่อย่างใด  แต่สิ่งที่พวกเขาถกเถียงกันคือ “คนนี้จะลงมาจากสวรรค์ได้อย่างไร” (ยน 6:41,52) และ “คนนี้จะเอาเนื้อของตนให้เรากินได้อย่างไร” (ยน 6:52) เพราะ “คนนี้” เป็นเพียงลูกชายของช่างไม้จน ๆ ที่ชื่อโยเซฟเท่านั้น จะมาอวดอ้างตัวเองเป็น “พระเจ้า” ผู้ลงมาจากสวรรค์และสามารถประทานเนื้อของตนให้พวกเขากินได้อย่างไรกัน ?!?
พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า ซึ่งพอจะสรุปสาเหตุได้ดังนี้
1.    พวกเขาดูแต่ภายนอกและตัดสินตามค่านิยมของมนุษย์ ปฏิกิริยาของพวกเขาคือ พระองค์เป็นลูกของช่างไม้ที่พวกเขารู้จักดีทั้งพ่อและแม่ พวกเขาเห็นพระองค์เติบโตมาตั้งแต่เด็ก แล้วคนที่มีอาชีพจนๆ อย่างนี้จะเป็นผู้นำข่าวดีของพระเจ้ามาสู่มนุษย์ได้อย่างไรกัน ?
    แต่ธนบัตรใบละ 1,000 บาทไม่ว่าจะอยู่ในซองสีแดงหรือจะใช้ผ้าขี้ริ้วห่อไว้ มันก็มีค่าเสมอมิใช่หรือ ?!
         เราจึงต้องระมัดระวังที่จะไม่ละเลยคำสอนของพระเจ้าเพียงเพราะไม่ชอบขี้หน้าผู้สอนหรือผู้เทศน์ และพึงระลึกอยู่เสมอว่าพระเจ้ามีทูตสวรรค์และผู้นำสารมากมายก็จริง แต่ผู้นำสารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือช่างไม้ชาวกาลิลีซึ่งชาวยิวไม่ยอมรับนี่เอง
2.    พวกเขาพูดและบ่นพึมพำในระหว่างพวกเขาเอง “คนคนนี้ไม่ใช่ เยซู บุตรของโยเซฟหรือ เรารู้จักทั้งบิดาและมารดาของเขาดี แล้วเขาพูดได้อย่างไรว่า เราลงมาจากสวรรค์” (ยน 6:42-43)
    พวกเขามัวแต่ถกเถียงหาคำตอบกันเองโดยไม่เคยคิดที่จะถามพระเจ้าว่าทรงมีพระประสงค์อย่างไร
    พวกเขากระตือรือร้นที่จะทำให้ผู้อื่นรู้ความคิดของเขา แต่ไม่สนใจแม้แต่น้อยนิดว่าพระเจ้าทรงคิดอะไร
    พวกเราก็เช่นกัน หลายครั้งระหว่างประชุม เราพยายามยัดเยียดความคิดของเราให้ผู้อื่นยอมรับ แต่จะดีกว่ามากหากเรารู้จักเงียบและทูลถามพระเจ้าว่าพระองค์ทรงคิดและมีพระประสงค์ให้เราทำสิ่งใด
    สิ่งสำคัญสำหรับเราคริสตชนไม่ได้อยู่ที่เราคิดอะไร แต่อยู่ที่ความพยายามแสวงหาว่าพระเจ้าทรงคิดอะไร !
3.    พวกเขาฟังแต่ไม่เรียนรู้  พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ทุกคนจะได้รับคำสอนจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้ฟังพระบิดา และเรียนรู้จากพระองค์ ก็มาหาเรา” (ยน 6:45)  แต่พวกเขาไม่พยายามเรียนรู้ หาไม่แล้วพวกเขาคงยอมรับและมาหาพระองค์
    การฟังนั้นมีหลายประเภท เช่น ฟังคนวิพากษ์วิจารณ์กัน ฟังคนโกรธระบายอารมณ์ ฟังผู้ใหญ่ ฟังเฉยๆ หรือฟังเพราะไม่มีโอกาสพูด
    แต่การฟังที่มีคุณค่าคือการฟังแล้วเรียนรู้จากสิ่งที่ได้รับฟังมา และนี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราฟังพระเจ้าและมาหาพระองค์
4.    พวกเขาขัดขืนการชักนำของพระเจ้า  พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาจะทรงชักนำเขา” (ยน 6:45)  แต่พวกเขากลับขัดขืนการชักนำของพระองค์
    คำ “ชักนำ” ซึ่งตรงกับคำกรีก helkuein (เฮลคูเอน) นั้นบ่งบอกว่ามี “แรงเสียดทาน” หรือ “แรงต้าน” อยู่ในตัว เช่น
        “พระองค์จึงตรัสว่า “จงเหวี่ยงแหไปทางกราบเรือด้านขวาซิ แล้วจะได้ปลา” บรรดาศิษย์จึงเหวี่ยงแหออกไป และดึง (helkuein) ขึ้นไม่ไหว เพราะได้ปลาเป็นจำนวนมาก” (ยน 21:6)
        “ซีโมน เปโตรจึงลงไปในเรือ แล้วลาก (helkuein) แหขึ้นฝั่งมีปลาตัวใหญ่ติดอยู่เต็ม นับได้หนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แต่ทั้งๆ ที่ติดปลามากเช่นนั้น แหก็ไม่ขาด” (ยน 21:11)
         “ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชัก (helkuein) ดาบออกมา ฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาสมณะ ถูกใบหูข้างขวาขาด ผู้รับใช้คนนั้นชื่อมัลคัส” (ยน 18:10)
        “เมื่อนายของทาสหญิงนั้นเห็นว่าหมดโอกาสที่จะมีรายได้แล้ว จึงจับกุมเปาโลและสิลาส นำ (helkuein) ตัวไปขึ้นศาลต่อหน้าผู้ปกครอง” (กจ 16:19)
        จะเห็นว่า ไม่ว่าเราจะ ดึงแห ลากแห ชักดาบ หรือ นำเปาโลและสิลาสไปขึ้นศาล ล้วนต้องออกแรงสู้กับแรงต้านอยู่เสมอ
        ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่า พระเจ้าสามารถ “ชักนำ” (helkuein) มนุษย์มาหาพระองค์ได้ก็จริง แต่มนุษย์ก็สามารถ “ต่อต้าน” และเอาชนะการชักนำของพระเจ้าได้เช่นกัน
        เราจึงต้องหมั่นวอนขอพระเจ้า โปรดอย่าให้เรา “ต่อต้าน” หรือ “ขัดขืน” การชักนำของพระองค์เลย !

    พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ปังทรงชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ใครที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” (ยน 6:51) หากปฏิเสธพระองค์เราก็พลาด “ชีวิต” ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า  ตรงกันข้าม หากยอมรับพระองค์เราก็พบ “ชีวิตแท้จริง” ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า
เราอยากจะ “พลาด” หรืออยากจะ “พบ” ก็เลือกเอา !!!