วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก (มก 13:24-32)
ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า
จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อเทศเถิด เมื่อมันแตกกิ่งอ่อนและผลิใบ ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว ท่านก็เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก็จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงใกล้เข้ามา อยู่ที่ประตูแล้ว เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงพ้นไปก่อนที่เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น ไม่มีใครรู้เลย ทั้งบรรดาทูตสวรรค์ และแม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว
มก 13:24-27 พระคริสตเจ้าทรงบอกล่วงหน้าถึงการเสด็จสู่สวรรค์และการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์ในตอนสิ้นพิภพ เมื่อนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาทั้งผู้เป็นและผู้ตาย การกล่าวถึงเรื่องภัยพิบัติมักใช้บ่อยๆ ในภาคพันธสัญญาเดิมในความเชื่อมโยงกับการลงโทษผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์
CCC ข้อ 675 ก่อนที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จมา พระศาสนจักรจะต้องผ่านการทดลองสุดท้ายที่จะทำให้ความเชื่อของผู้มีความเชื่อหลายคนต้องสั่นคลอนการเบียดเบียนซึ่งจะอยู่เคียงข้างกับการเดินทางของพระศาสนจักรในโลกนี้ จะเปิดเผยให้เห็น “ธรรมล้ำลึกแห่งความชั่วร้าย” ในรูปของความหลอกลวงทางศาสนาที่เสนอวิธีแก้ปัญหาอย่างเสแสร้งทำให้หลายคนต้องยอมปฏิเสธความจริง ความหลอกลวงด้านศาสนาที่ร้ายแรงที่สุดนั้นก็คือความหลอกลวงของผู้เป็นปฏิปักษ์กับพระคริสตเจ้า(Antichrist) หรือพระเมสสิยาห์จอมปลอมที่ทำให้มนุษย์ยกย่องตนเองแทนพระเจ้าและพระเมสสิยาห์ของพระองค์ผู้เสด็จมารับสภาพมนุษย์
CCC ข้อ 676 ความหลอกลวงของผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับพระคริสตเจ้านี้ปรากฏขึ้นมาแล้วในโลกทุกครั้งที่มีผู้อ้างว่าจะทำให้ความหวังในพระเมสสิยาห์เป็นจริงขึ้นในประวัติศาสตร์ แต่ความหวังนี้จะสำเร็จเป็นจริงได้นอกเหนือประวัติศาสตร์โดยการพิพากษาในยุคสุดท้ายเท่านั้น พระศาสนจักรเคยปฏิเสธไม่ยอมรับพระอาณาจักรในอนาคตที่ปลอมแปลงนี้ แม้แต่ในรูปแบบที่ผิดเพี้ยนไปบ้างในนามของลัทธิ “สหัสวรรษนิยม” (millenarism)[641] โดยเฉพาะในรูปแบบการเมืองของพระเมสสิยาห์ทางโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ “เลวร้ายจากภายใน” (intrinsically perverse)
CCC ข้อ 677 พระศาสนจักรจะไม่เข้าในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระอาณาจักรนอกจากโดยผ่านทางปัสกาสุดท้ายนี้ ที่พระศาสนจักรจะตามองค์พระผู้เป็นเจ้าของตนในการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพ ดังนั้น พระอาณาจักรจะไม่สมบูรณ์โดยชัยชนะทางประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรตามความเจริญที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่อาศัยชัยชนะของพระเจ้าต่อการจู่โจมครั้งสุดท้ายของความชั่ว ซึ่งจะทำให้เจ้าสาวของพระองค์ลงมาจากสวรรค์ ชัยชนะของพระเจ้าเหนือการทำลายล้างของความชั่วจะมาถึงในรูปแบบของการพิพากษาสุดท้าย หลังจากโลกที่กำลังผ่านพ้นไปนี้จะถูกทำลายล้างจนหมดสิ้นในที่สุด
มก 13:32 แม้แต่พระบุตร นอกจากพระบิดาเพียงพระองค์เดียว: คำสอนนี้เน้นถึงความต้องการของผู้ติดตามพระคริสตเจ้าที่ต้องเตรียมตนเองให้พร้อมอยู่เสมอเพื่อต้อนรับพระองค์ที่จะเสด็จกลับมา
CCC ข้อ 474 ความรู้แบบมนุษย์ของพระคริสตเจ้า จากความสัมพันธ์ที่ทรงมีกับพระปรีชาญาณของพระเจ้าในพระบุคคลของพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับสภาพมนุษย์ ยังอาจเข้าใจพระประสงค์นิรันดรของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ และเสด็จมาเพื่อเปิดเผยพระประสงค์เหล่านี้ ในเรื่องเหล่านี้ถ้าพระองค์ทรงบอกว่าไม่ทรงทราบ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทรงประกาศว่าไม่ทรงมีพันธกิจให้เปิดเผยเรื่องนี้ให้เรารู้
(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)