แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ข้อคิดข้อรำพึง

สมโภชนักบุญทั้งหลาย

All Saint 1

 เรื่องเกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 60 มีไฟไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงโรมและไหม้อยู่ราวหนึ่งสัปดาห์ทีเดียว มีข่าวลือกันทั่วไปว่าจักรพรรดิ์เนโรเองเป็นผู้บงการให้เกิดไฟไหม้ขึ้น พระองค์ทรงต้องการทำลายกรุงโรมเก่า เพื่อจะสร้างทดแทนขึ้นใหม่ จะได้นำเอาชื่อของพระองค์มาแทนชื่อเมืองเดิมนั้น

 เนโรห์ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงสุดที่จะหยุดข่าวลือนั้น แต่ทำไม่สำเร็จ ที่สุด เขาหันมาจับแพะรับบาปเพื่อรับโทษแทน โดยการกล่าวหาอันเป็นเท็จว่ากลุ่มคริสตชนในกรุงโรมได้เป็นผู้เริ่มจุดไฟ

 การกล่าวหาของเนโรห์ก่อให้เกิดการเบียดเบียนทางศาสนาครั้งใหญ่และกินเวลานานถึง 300 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันผู้หนึ่งได้อธิบายช่วงเวลาการเบียดเบียนในสมัยของเนโรห์ดังนี้

 “บรรดาคริสตชนถูกกระทำอย่างโหดร้ายที่สุด  บางคนถูกจับใส่ชุดที่ทำจากหนังสัตว์เพื่อให้สุนัขที่หิวกระหายขบกัดจนร่างกายฉีกแยกจากกัน  คนอื่นๆ ถูกจับตรึงกางเขน  และในเวลากลางคืนถูกเผาให้เป็นเหมือนคบเพลิงที่ส่องสว่างตอนกลางคืน”

 เพื่อป้องกันตนเองและเพื่อสามารถปฏิบัติกิจศาสนาได้  บรรดาคริสตชนจำนวนมากจึงลงไปใต้ดิน พวกเขาขุดดินอ่อนที่เกิดจากภูเขาไฟที่อยู่ใต้กรุงโรมให้เป็นอุโมงค์ที่เป็นเครือข่ายกัน  บางอุโมงค์ใต้ดินกินเนื้อที่หลายตารางกิโลเมตร และถูกออกแบบเป็นเขาวงกตเพื่อทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสับสน

All Saint 2

 ทุกวันนี้อุโมงค์บางแห่ง หรือที่เรียกว่า คาตาคอมบ์ กลายเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวในกรุงโรมให้มาเยี่ยมชม ในคาตาคอมบ์เหล่านี้แหละที่ในสมัยนั้นคริสตชนใช้ในการไปร่วมพิธีมิสซา  ล้างบาปให้เด็กๆ  และฝังบรรดาคนตาย

 นักบุญเยโรม (ค.ศ.341-420) เคยเขียนไว้ว่า เมื่อตอนที่ท่านเป็นเด็ก ท่านและเพื่อนเคยไปวิ่งเล่นในคาตาคอมบ์เหล่านั้น

 หลายศตวรรษต่อๆ มา  เด็กๆ ชาวโรมันยังคงไปวิ่งเล่นในคาตาคอมบ์  ครั้งหนึ่ง เด็กชายกลุ่มหนึ่งไปวิ่งเล่นในคาตาคอมบ์ที่เป็นแบบเขาวงกต  ทันใดนั้น ไฟฉายที่มีเพียงกระบอกเดียวเกิดดับ เด็กผู้ชายเหล่านั้นติดกับอยู่ในความมืดสนิท และจนปัญญาจะหาทางออกมาได้  เหตุการณ์เกือบจะวิกฤตอยู่แล้ว บังเอิญเด็กชายคนหนึ่งสัมผัสถึงความนุ่มของร่องทางเดินบนหินที่พื้นของถ้ำนั้น  ซึ่งจริงๆ เป็นทางเดินโบราณที่คริสตชนเป็นพันๆ คนใช้เดินในสมัยแห่งการเบียดเบียน  เด็กชายเหล่านั้นเดินตามรอยเท้าของบรรดานักบุญในอดีต  และได้พบทางออกจากความมืดมาสู่ความสว่างอย่างปลอดภัย

 ตัวอย่างของบรรดานักบุญที่สิ้นชีพเพราะถูกเบียดเบียนนี้ แสดงให้เราเห็นว่าพวกท่านได้ทุ่มเทมากแค่ไหน  เพื่อยืนหยัดอยู่ในความเชื่อที่ท่านมี  ถ้าพวกท่านไม่ยอมสละเลือดเป็นพลี  บางทีพวกเราทั้งหลายอาจจะไม่ได้เป็นคริสตชนเช่นในขณะนี้  นอกจากนั้น ตัวอย่างของบรรดานักบุญยังมีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเรา  พวกเราอาจกำลังหลงทางเหมือนเด็กๆ ในคาตาคอมบ์ กำลังสับสนในชีวิต ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เราถูกความมืดมิดครอบคลุมอยู่รอบด้าน จนไม่แน่ใจว่าจะก้าวเดินไปทางไหน ถ้าพวกเราเดินตามรอยเท้าของบรรดานักบุญ เราจะสามารถพบทางออกจากความมืดมาสู่ความสว่างเหมือนเด็กๆ เหล่านั้น (Mark Link, SJ. Illustrated Sunday Homilies-Year B-pp. 240-241)

 เมื่อเราหันมามองคำสอนเรื่องบุญลาภ (เดี๋ยวนี้ใช้คำว่า "ความสุขแท้จริง" ) ของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ เราจะเห็นว่าคนธรรมดาทั้งหลายสามารถเป็นนักบุญของพระองค์ได้ทั้งนั้น  คนที่มีจิตใจยากจน  คนที่มีใจบริสุทธิ์  คนที่เป็นทุกข์โศกเศร้า  คนที่มีใจอ่อนโยน  คนที่สร้างสันติ  คนที่มีใจเมตตา  คนที่หิวกระหายความยุติธรรม  คนที่ถูกเบียดเบียนข่มเหง ถูกคนเขาดูหมิ่นและใส่ร้ายต่างๆ นานา  คนเหล่านี้จะมีความสุขแท้จริง เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

 เรื่อง "ความสุขแท้จริง" เป็นเรื่องที่เราทุกคนเข้าถึงได้ และถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูเจ้า เราก็จะเป็นหนึ่งในประชาชนมากมายเหลือคณานับที่มาจากทุกชาติ  ทุกภาษา ที่ได้ไปยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ทุกคนสวมเสื้อขาว ถือใบปาล์ม ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า “ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้าของเรา”

           

(คุณพ่อ วิชา  หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2012)

All Saint 3All Saint 4