แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ข้อคิดข้อรำพึง

อาทิตย์ที่ 31  เทศกาลธรรมดา ปี B

ความรัก  ความสงสาร  และมนุษยธรรม (Love, pity and humanity)

 31th Sunday 1

          ในวันคริสต์มาสปี ค.ศ. 1977  นักแสดงตลกที่โด่งดังที่สุดและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดของโลกได้สิ้นชีพลง  เขาคือ  ชาร์ลี  แชปลิน  ซึ่งเป็นจอมอัจฉริยะแห่งหนังเงียบ (หนังที่ไร้เสียงคนพูด)  หลงเหลือไว้แต่ฟิล์มหนังจำนวนมากมายที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนจรจัดตัวจ้อย (little tramp) ที่ทั้งน่ารักและน่าสงสาร  นอกจากเรื่องของหนังแล้ว  เขายังเขียนอัตชีวประวัติไว้อย่างฉลาดหลักแหลมอีกด้วย  เล่าเรื่องชีวิตของเขาที่ต้องสู้  มีชัยชนะบ้าง  และแพ้ผิดหวังบ้าง  ช่วงที่เขาเกิดมา  แม่ของเขาเป็นนักร้องหลายเวที  หนึ่งปีต่อมาพ่อแม่แยกทางกัน  แม่เป็นผู้ที่ต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสอง  ทุกสิ่งก็ดำเนินไปได้ดีพอควร  จนกระทั่งเสียงแม่ของเขาเริ่มมีปัญหาแย่ลงเรื่อยๆ  เนื่องจากโรคกล่องเสียงอักเสบ  ต่อมาก็ไม่มีใครจ้าง  เงินที่สะสมไว้ค่อยๆหมดไป  แม่ขายข้าวของใช้ส่วนตัวเพื่อมาจุนเจือครอบครัวที่ยากลำบาก

 

          ชาร์ลี  แชปลิน  ยังจำได้ถึงช่วงที่พวกเขาอยู่ในโลกที่มืดหม่นเศร้าสร้อย  มีแต่ความรักที่พวกเขามีต่อกันเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขายังอยู่ต่อไปได้  ช่วงหนึ่งเขาเขียนไว้ว่า  "ฉันยังจำได้ในเย็นวันหนึ่ง  เรานั่งอยู่ในห้องชั้นล่าง  ฉันนอนอยู่บนเตียงเพราะเพิ่งฟื้นจากไข้  แม่กับฉันอยู่ด้วยกันตามลำพัง  แม่นั่งหลังพิงกับหน้าต่างกำลังอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่  แล้วก็อธิบายถึงความรักของพระคริสตเจ้าที่ทรงมีต่อคนยากจน  และเด็กเล็กๆ  แม่อ่านจนพลบค่ำ  จะหยุดเพียงแค่ไปจุดตะเกียงเท่านั้น  แล้วบอกถึงเรื่องความเชื่อที่พระเยซูเจ้าทรงเผชิญเมื่อทรงได้รับความทุกข์ทรมาน  แม่เล่าเรื่องที่พระองค์ทรงถูกจับกุมและทรงสงบเงียบอย่างมีศักดิ์ศรีต่อหน้าปอนทิอัส ปิลาต  รวมทั้งก่อนจะสิ้นพระชนม์ทรงร้องเสียงดังว่า  'พระเจ้าของข้าพเจ้า  เหตุไฉนจึงทรงละทิ้งข้าพเจ้าเล่า'  แม่เล่านานจนฉันเบื่อมาก  และอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไปในคืนนั้นเลย  เพื่อจะไปพบกับพระเยซู  แต่แม่บอกฉันว่า  'ก่อนอื่น พระเยซูเจ้าทรงอยากให้ลูกมีชีวิตอยู่  และทำหน้าที่ให้สำเร็จสมบูรณ์ในโลกนี้ก่อน'  คำพูดของแม่ในห้องชั้นล่างที่มืดมนนี้นี่เอง  ที่ส่องแสงให้ฉันได้เห็นแสงสว่างแห่งความกรุณายิ่งที่โลกนี้ได้รู้จัก  ซึ่งก่อให้เกิดวรรณกรรม  และเกิดบทละครที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งที่สุดในหัวข้อว่า : ความรัก  ความสงสาร  และมนุษยธรรม"  (จาก  "My Autobiography” ของ Charlie Chaplin)

 

          ชาร์ลี  แชปลิน  ได้สรุปชีวิตของพระเยซูเจ้าในคำศัพท์ที่ว่า  แสงสว่างแห่งความกรุณายิ่งที่โลกนี้ได้เคยรู้จัก  ซึ่งแสดงให้เห็นถึง  ความรัก  ความสงสาร และมนุษยธรรม  ในพระวรสารของวันนี้พระเยซูเจ้าทรงถูกถามให้สรุปว่าอะไรคือแก่นแท้ของธรรมบัญญัติ  โดยแท้จริงแล้ว  เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่แพร่หลายของบรรดารับบีและพวกลูกศิษย์ที่จะพุ่งเป้าไปที่การสรุปธรรมบัญญัติ  ขอยกตัวอย่างหนึ่งที่พบในธรรมประเพณีของชาวยิว  คือ  เด็กนักเรียนคนหนึ่งได้ขอให้อาจารย์สอนถึงแก่นแท้ของธรรมบัญญัติโดยยอมยืนอยู่บนขาข้างเดียว  อาจารย์ของเขาที่ชื่อ Hillel  จึงตอบว่า  "อะไรที่เธอเกลียดในตัวเอง  จงอย่าทำสิ่งนั้นกับเพื่อนบ้าน  นี่คือธรรมบัญญัติทั้งครบ  ที่เหลือเป็นการอธิบายความ   จงไป  และเรียนรู้มัน"

 31th Sunday 2

          พระเยซูเจ้าได้ทรงสรุปปรีชาญาณของชาวอิสราเอลที่ถือสืบต่อกันมาด้วยประโยคหนึ่งเดียว  โดยนำส่วนแรกมาจากข้อความเชื่อของศาสนายิวที่จะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตใจ  สุดวิญญาณ  สุดสติปัญญาและสุดกำลัง  ซึ่งข้อความส่วนนี้ชาวยิวจะบรรจุไว้ในกล่องเล็กๆ ที่เรียกว่า  "mezuzah"  และจะติดไว้ที่ประตูทางเข้าบ้านของชาวยิว  และที่ประตูทุกๆห้องที่อยู่ภายในบ้าน  ดังนั้นจึงไม่มีชาวยิวที่ศรัทธาคนไหนจะไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปส่วนแรกของพระเยซูเจ้า  แต่ที่ตามมาด้วยติดๆกันคือพระเยซูเจ้าทรงอ้างข้อความจากพระคัมภีร์ตอนอื่นมาผนวกรวมไว้คือ  ต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง  เพราะสำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว  นี่เป็นส่วนผสมที่แม้นำมาจากข้อความตอนที่ต่างกันของพระคัมภีร์  แต่ก็เป็นแก่นแท้ของธรรมบัญญัตินั่นเอง  และส่วนผสมนี้จะถูกมอบให้ผู้ที่เป็นคริสตชนด้วย  เพื่อให้ถือเป็นบทบัญญัติพื้นฐานของชีวิต

 

          ในคำตอบที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้กับธรรมาจารย์นั้น  จะเห็นได้ชัดเจนว่า  เราจะไม่สามารถหาข้อสรุปของธรรมบัญญัติได้เลย  ถ้าเราหลงลืมความรักที่ต้องมีต่อเพื่อนมนุษย์  ธรรมาจารย์คนนั้นพอใจในคำตอบของพระเยซูเจ้า  แล้วยังเสริมด้วยว่า  ความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา  หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ  พระเยซูเจ้าทรงวางตำแหน่งข้อเรียกร้องทางพิธีกรรมว่าต่ำกว่าข้อเรียกร้องให้แสดงความรักออกมาอย่างเป็นรูปธรรมเป็นอย่างมาก  และเราจะเห็นเรื่องนี้พัฒนาชัดเจนขึ้นในอุปมาของพระองค์เรื่องชาวสะมาเรียใจดี  ที่ในเนื้อเรื่องเล่าถึงสมณะและเลวีรีบเร่งเดินผ่านคนที่ถูกโจรปล้นไป  โดยไม่สนใจที่จะเข้าไปช่วยเหลือด้วยความรัก  เพียงเพื่อจะได้ไปทำตามระเบียบของพิธีกรรมเท่านั้น   และที่พระเยซูเจ้าทรงนำส่วนผสมของความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์มาไว้ด้วยกัน  ก็เพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ทางศาสนาของชาวยิวแยกทั้งสองออกจากกัน

 

          ดังนั้น  บทสรุปธรรมบัญญัติของพระเยซูเจ้าจึงไม่ใช่เป็นเพียงงานอดิเรกเชิงวิชาการ  แต่เป็นการท้าทายแต่ละคนๆ ให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดหัวใจ  และให้เอาใจใส่ส่งเสริมให้เกิดความดีที่เป็นรูปธรรมกับเพื่อนมนุษย์  ในแบบที่เราต้องการให้เป็นในกรณีของเราเอง  นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการช่วยของพระเยซูเจ้าเพื่อให้เราเข้าใจธรรมบัญญัติเท่านั้น  แต่เป็นสิ่งที่พระวรสารได้วาดภาพพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นเช่นนี้ด้วย  นี่คือว่าทำไมชาร์ลี  แชปลิน  ได้สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับพระเยซูเจ้าไว้อย่างถูกต้อง  ผู้ชายที่ในหนังสวมกางเกงหลวมมากๆ  ส่วนเสื้อที่สวมนั้นคับเต่อ  หมวกก็แสนจะเล็ก  และรองเท้าก็ใหญ่เกินไป  แต่ได้สรุปพระเยซูเจ้าในพระวรสารได้อย่างเที่ยงตรงด้วยคำว่า  "ความรัก  ความสงสาร  และความเห็นอกเห็นใจ" ( "Love, pity and compassion" )  ที่นอกเหนือไปจากนี้เป็นคำอธิบายเพิ่มเติม

(คุณพ่อวิชา  หิรัญญการ  เขียนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2021

Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R.)

31th Sunday 331th Sunday 4