ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา ปี B
ความรัก ความสงสาร และมนุษยธรรม (Love, pity and humanity)
ในวันคริสต์มาสปี ค.ศ. 1977 นักแสดงตลกที่โด่งดังที่สุดและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดของโลกได้สิ้นชีพลง เขาคือ ชาร์ลี แชปลิน ซึ่งเป็นจอมอัจฉริยะแห่งหนังเงียบ (หนังที่ไร้เสียงคนพูด) หลงเหลือไว้แต่ฟิล์มหนังจำนวนมากมายที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนจรจัดตัวจ้อย (little tramp) ที่ทั้งน่ารักและน่าสงสาร นอกจากเรื่องของหนังแล้ว เขายังเขียนอัตชีวประวัติไว้อย่างฉลาดหลักแหลมอีกด้วย เล่าเรื่องชีวิตของเขาที่ต้องสู้ มีชัยชนะบ้าง และแพ้ผิดหวังบ้าง ช่วงที่เขาเกิดมา แม่ของเขาเป็นนักร้องหลายเวที หนึ่งปีต่อมาพ่อแม่แยกทางกัน แม่เป็นผู้ที่ต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสอง ทุกสิ่งก็ดำเนินไปได้ดีพอควร จนกระทั่งเสียงแม่ของเขาเริ่มมีปัญหาแย่ลงเรื่อยๆ เนื่องจากโรคกล่องเสียงอักเสบ ต่อมาก็ไม่มีใครจ้าง เงินที่สะสมไว้ค่อยๆหมดไป แม่ขายข้าวของใช้ส่วนตัวเพื่อมาจุนเจือครอบครัวที่ยากลำบาก
ชาร์ลี แชปลิน ยังจำได้ถึงช่วงที่พวกเขาอยู่ในโลกที่มืดหม่นเศร้าสร้อย มีแต่ความรักที่พวกเขามีต่อกันเท่านั้นที่ช่วยให้พวกเขายังอยู่ต่อไปได้ ช่วงหนึ่งเขาเขียนไว้ว่า "ฉันยังจำได้ในเย็นวันหนึ่ง เรานั่งอยู่ในห้องชั้นล่าง ฉันนอนอยู่บนเตียงเพราะเพิ่งฟื้นจากไข้ แม่กับฉันอยู่ด้วยกันตามลำพัง แม่นั่งหลังพิงกับหน้าต่างกำลังอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ แล้วก็อธิบายถึงความรักของพระคริสตเจ้าที่ทรงมีต่อคนยากจน และเด็กเล็กๆ แม่อ่านจนพลบค่ำ จะหยุดเพียงแค่ไปจุดตะเกียงเท่านั้น แล้วบอกถึงเรื่องความเชื่อที่พระเยซูเจ้าทรงเผชิญเมื่อทรงได้รับความทุกข์ทรมาน แม่เล่าเรื่องที่พระองค์ทรงถูกจับกุมและทรงสงบเงียบอย่างมีศักดิ์ศรีต่อหน้าปอนทิอัส ปิลาต รวมทั้งก่อนจะสิ้นพระชนม์ทรงร้องเสียงดังว่า 'พระเจ้าของข้าพเจ้า เหตุไฉนจึงทรงละทิ้งข้าพเจ้าเล่า' แม่เล่านานจนฉันเบื่อมาก และอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไปในคืนนั้นเลย เพื่อจะไปพบกับพระเยซู แต่แม่บอกฉันว่า 'ก่อนอื่น พระเยซูเจ้าทรงอยากให้ลูกมีชีวิตอยู่ และทำหน้าที่ให้สำเร็จสมบูรณ์ในโลกนี้ก่อน' คำพูดของแม่ในห้องชั้นล่างที่มืดมนนี้นี่เอง ที่ส่องแสงให้ฉันได้เห็นแสงสว่างแห่งความกรุณายิ่งที่โลกนี้ได้รู้จัก ซึ่งก่อให้เกิดวรรณกรรม และเกิดบทละครที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งที่สุดในหัวข้อว่า : ความรัก ความสงสาร และมนุษยธรรม" (จาก "My Autobiography” ของ Charlie Chaplin)
ชาร์ลี แชปลิน ได้สรุปชีวิตของพระเยซูเจ้าในคำศัพท์ที่ว่า แสงสว่างแห่งความกรุณายิ่งที่โลกนี้ได้เคยรู้จัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ความรัก ความสงสาร และมนุษยธรรม ในพระวรสารของวันนี้พระเยซูเจ้าทรงถูกถามให้สรุปว่าอะไรคือแก่นแท้ของธรรมบัญญัติ โดยแท้จริงแล้ว เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่แพร่หลายของบรรดารับบีและพวกลูกศิษย์ที่จะพุ่งเป้าไปที่การสรุปธรรมบัญญัติ ขอยกตัวอย่างหนึ่งที่พบในธรรมประเพณีของชาวยิว คือ เด็กนักเรียนคนหนึ่งได้ขอให้อาจารย์สอนถึงแก่นแท้ของธรรมบัญญัติโดยยอมยืนอยู่บนขาข้างเดียว อาจารย์ของเขาที่ชื่อ Hillel จึงตอบว่า "อะไรที่เธอเกลียดในตัวเอง จงอย่าทำสิ่งนั้นกับเพื่อนบ้าน นี่คือธรรมบัญญัติทั้งครบ ที่เหลือเป็นการอธิบายความ จงไป และเรียนรู้มัน"
พระเยซูเจ้าได้ทรงสรุปปรีชาญาณของชาวอิสราเอลที่ถือสืบต่อกันมาด้วยประโยคหนึ่งเดียว โดยนำส่วนแรกมาจากข้อความเชื่อของศาสนายิวที่จะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำลัง ซึ่งข้อความส่วนนี้ชาวยิวจะบรรจุไว้ในกล่องเล็กๆ ที่เรียกว่า "mezuzah" และจะติดไว้ที่ประตูทางเข้าบ้านของชาวยิว และที่ประตูทุกๆห้องที่อยู่ภายในบ้าน ดังนั้นจึงไม่มีชาวยิวที่ศรัทธาคนไหนจะไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปส่วนแรกของพระเยซูเจ้า แต่ที่ตามมาด้วยติดๆกันคือพระเยซูเจ้าทรงอ้างข้อความจากพระคัมภีร์ตอนอื่นมาผนวกรวมไว้คือ ต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง เพราะสำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว นี่เป็นส่วนผสมที่แม้นำมาจากข้อความตอนที่ต่างกันของพระคัมภีร์ แต่ก็เป็นแก่นแท้ของธรรมบัญญัตินั่นเอง และส่วนผสมนี้จะถูกมอบให้ผู้ที่เป็นคริสตชนด้วย เพื่อให้ถือเป็นบทบัญญัติพื้นฐานของชีวิต
ในคำตอบที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้กับธรรมาจารย์นั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า เราจะไม่สามารถหาข้อสรุปของธรรมบัญญัติได้เลย ถ้าเราหลงลืมความรักที่ต้องมีต่อเพื่อนมนุษย์ ธรรมาจารย์คนนั้นพอใจในคำตอบของพระเยซูเจ้า แล้วยังเสริมด้วยว่า ความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ พระเยซูเจ้าทรงวางตำแหน่งข้อเรียกร้องทางพิธีกรรมว่าต่ำกว่าข้อเรียกร้องให้แสดงความรักออกมาอย่างเป็นรูปธรรมเป็นอย่างมาก และเราจะเห็นเรื่องนี้พัฒนาชัดเจนขึ้นในอุปมาของพระองค์เรื่องชาวสะมาเรียใจดี ที่ในเนื้อเรื่องเล่าถึงสมณะและเลวีรีบเร่งเดินผ่านคนที่ถูกโจรปล้นไป โดยไม่สนใจที่จะเข้าไปช่วยเหลือด้วยความรัก เพียงเพื่อจะได้ไปทำตามระเบียบของพิธีกรรมเท่านั้น และที่พระเยซูเจ้าทรงนำส่วนผสมของความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์มาไว้ด้วยกัน ก็เพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ทางศาสนาของชาวยิวแยกทั้งสองออกจากกัน
ดังนั้น บทสรุปธรรมบัญญัติของพระเยซูเจ้าจึงไม่ใช่เป็นเพียงงานอดิเรกเชิงวิชาการ แต่เป็นการท้าทายแต่ละคนๆ ให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดหัวใจ และให้เอาใจใส่ส่งเสริมให้เกิดความดีที่เป็นรูปธรรมกับเพื่อนมนุษย์ ในแบบที่เราต้องการให้เป็นในกรณีของเราเอง นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการช่วยของพระเยซูเจ้าเพื่อให้เราเข้าใจธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่พระวรสารได้วาดภาพพระเยซูเจ้าว่าทรงเป็นเช่นนี้ด้วย นี่คือว่าทำไมชาร์ลี แชปลิน ได้สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับพระเยซูเจ้าไว้อย่างถูกต้อง ผู้ชายที่ในหนังสวมกางเกงหลวมมากๆ ส่วนเสื้อที่สวมนั้นคับเต่อ หมวกก็แสนจะเล็ก และรองเท้าก็ใหญ่เกินไป แต่ได้สรุปพระเยซูเจ้าในพระวรสารได้อย่างเที่ยงตรงด้วยคำว่า "ความรัก ความสงสาร และความเห็นอกเห็นใจ" ( "Love, pity and compassion" ) ที่นอกเหนือไปจากนี้เป็นคำอธิบายเพิ่มเติม
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2021
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R.)