แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ข้อคิดข้อรำพึง

อาทิตย์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา ปี B

29th Sunday 1

นาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนไว้บนหอสูงแห่งหนึ่งตีบอกเวลาเที่ยงวันด้วยเสียงกังวาน 12 ครั้ง  ส่วนนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งอยู่เบื้องล่างจ้องมองไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่แล้วประท้วงว่า  "แกคิดว่าแกใหญ่กว่า และดีกว่าพวกเราใช่ไหม  จะบอกอะไรให้นะ  แกลองมองสำรวจดูตัวเองสิ  จะเห็นเข็มนาฬิกาของแกเงอะงะ งุ่มง่าม แถมเสียงของแกก็กระด้างๆ"  ฝ่ายนาฬิกาเรือนใหญ่มิได้แสดงความรำคาญใจใดๆ  พูดตอบนาฬิกาข้อมือว่า  "ทำไมไม่ขึ้นมาบนนี้ล่ะ  น้องเอ๋ย  ฉันมีอะไรจะให้ดู"  ดังนั้นนาฬิกาเล็กก็ไต่ขึ้นไปบนหอที่สูงชัน  เมื่อถึงยอดแล้วได้ยินนาฬิกาเรือนใหญ่พูดว่า  "น้องเอ๋ย  คนที่อยู่ข้างล่างโน่นอยากรู้ว่าเวลาเท่าไร  น้องจะช่วยแสดงเวลาให้กับเขาได้ไหม"  นาฬิกาเรือนเล็กตอบอย่างเขินอายว่า  "แกก็รู้ว่าฉันไม่สามารถทำได้"  นาฬิกาเรือนใหญ่จึงพูดต่อว่า  "ฉันรู้ว่าน้องทำไม่ได้  แต่ฉันทำได้"  และอธิบายต่อไปว่า  "แต่เมื่อน้องลงไปข้างล่าง  น้องก็จะบอกเวลาให้เขาได้  ดังนั้นคนที่เป็นเจ้าของน้องก็ไม่จำเป็นที่จะแหงนหน้าขึ้นมองฉัน  แต่สำหรับคนที่ไม่มีนาฬิกาข้อมือ  ฉันก็จะเป็นที่พึ่งเดียวที่เขาสามารถหันขึ้นมาดูได้  ดังนั้น น้องเอ๋ย  จงจำไว้  เราต่างก็มีหน้าที่ต้องทำ  คือบอกเวลาให้กับผู้คน  น้องก็ทำในแบบของน้อง  ฉันก็ทำตามแบบของฉัน  และเมื่อเราทั้งสองทำตามนั้น  เราก็แสดงให้ผู้คนเห็นว่า  เราเท่าเทียมกัน และเป็นพี่น้องกันด้วย"

 

ดังที่เราเรียนรู้จากประสบการณ์  การใช้อำนาจก่อให้เกิดความยากลำบากทั้งผู้ที่ใช้อำนาจ  และผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ (หรือผู้ถูกกระทำ)  Jean Vanier ได้แยกแยะการใช้อำนาจในสองแบบด้วยกัน  แบบแรก คือการใช้อำนาจของเผด็จการ - เขาต้องเป็นคนควบคุมทั้งหมด  ต้องคอยบังคับ  และครอบงำคนอื่นๆ  แบบสอง คือการใช้อำนาจของคนที่เป็นผู้นำแท้จริง  คือคนที่ฟังคนอื่น  มอบอำนาจให้  ปล่อยให้มีอิสระในการทำงาน  และยังส่งเสริมให้เขามีความมั่นใจในตนเอง  และรู้จักอุทิศตนในหน้าที่ที่รับผิดชอบของตน  นี่คือความเป็นผู้นำที่แท้จริงในแบบที่พระเยซูเจ้าทรงเป็น  และทรงสอนเช่นนี้  "ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่า  คนต่างชาติที่คิดว่าตนเป็นหัวหน้าย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น  และผู้เป็นผู้ใหญ่ย่อมใช้อำนาจบังคับ  แต่ท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นเช่นนั้น  ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น  และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน  ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน"

 

ขอยกตัวอย่างการทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่นของนักบุญเทเรซา แห่งกัลกัตตา  ครั้งหนึ่งคุณแม่เทเรซาถูกเรียกตัวไปขึ้นศาล  เพราะถูกข้อหาที่มีคนไปฟ้องศาลว่าท่านได้บังคับให้เด็กที่ท่านอุปถัมภ์กลับใจมาถือความเชื่อของคาทอลิก  เมื่อต้องยืนขึ้นเพื่อให้การต่อหน้าผู้พิพากษา  ท่านถูกถามว่าข้อกล่าวหานี้เป็นความจริงหรือไม่  ก่อนจะตอบท่านหันไปที่ซิสเตอร์คนหนึ่งที่ไปในศาลด้วย  ซิสเตอร์นั้นกำลังอุ้มเด็กน้อยในวงแขนของเธออยู่  คุณแม่ขอนำเด็กนั้นมาอุ้มไว้  แล้วกล่าวต่อศาลว่า  "ท่านผู้ทรงเกียรติ  ฉันเก็บเด็กน้อยนี้มาจากถังขยะ  ฉันไม่รู้ครอบครัวของเด็กน้อยที่ไร้เดียงสานี้นับถือศาสนาอะไร  ฉันไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาพูดภาษาท้องถิ่นแบบไหน  แต่ที่ฉันรู้คือ ฉันมอบความรักของฉัน  เวลาของฉัน  ความเอาใจใส่ของฉัน  อาหารของฉันให้กับเด็กคนนี้  และมอบสิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่ฉันมี  - คือความเชื่อของฉันต่อพระเยซูคริสตเจ้า  ฉันไม่สามารถให้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของฉันแก่เด็กคนนี้หรือ"  นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น  เป็นการทำตามแบบพระเยซูเจ้าผู้ทรงอำนาจสูงสุด  "เพราะบุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้  แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น  และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย"

 

(คุณพ่อวิชา  หิรัญญการ  ลงวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2021

Based on : Your Words, O Lord, Are Spirit, and They Are Life ; by : Fr James Valladares)

29th Sunday 229th Sunday 329th Sunday 4