ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา ปี B
จงต้อนรับเด็กเล็กๆ (Welcoming the little ones)
กษัตริย์ออสการ์ ที่ 2 เป็นเจ้าผู้ครองประเทศสวีเดนและนอร์เวย์ ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ พระองค์โปรดการไปเยี่ยมโรงเรียนต่างๆ และทรงพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการกับเด็กนักเรียนเหล่านั้น วันหนึ่งเสด็จไปเยี่ยมโรงเรียนหนึ่งซึ่งอยู่ในหมู่บ้านชนบท กษัตริย์ได้ตรัสถามเด็กๆ ว่าใครคือกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสวีเดน คำตอบของเด็กๆออกมาไม่เหมือนกัน เช่น พระเจ้ากุสตาฟ วาซา พระเจ้ากุสตาฟ อโดลฟุส และพระเจ้าชาร์ลส์ ที่ 12 คุณครูที่อยู่ที่นั่นรู้สึกขายหน้าต่อคำตอบเหล่านั้น จึงไปยืนใกล้ๆ เด็กผู้ชายเล็กๆ คนหนึ่ง และกระซิบที่หูของเขา เขาจึงประกาศเสริมขึ้นมาว่า "และพระเจ้าออสการ์ด้วย" กษัตริย์ทรงได้ยินเช่นนั้นก็แปลกพระทัย "จริงหรือ....แล้วกษัตริย์ออสการ์ได้ทรงทำอะไรที่น่าจดจำได้บ้าง" "คือผม - ผม - ผมไม่รู้ครับ" เด็กนั้นตอบอย่างตะกุกตะกักและรู้สึกสับสน แต่กษัตริย์ทรงตอบเด็กนั้นว่า "เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าตอบถูกต้องแล้ว เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนหนูว่าทรงทำอะไรที่โดดเด่นบ้าง"
จะเห็นได้ว่ากษัตริย์ทรงพร้อมจะยอมรับในสิ่งที่เด็กน้อยได้กล่าวออกมา และทรงเห็นด้วยกับความจริงที่พูดแบบติดอ่างออกมาของเด็กน้อยด้วย เด็กๆ มีวิธีแสดงออกมาตามความรู้ที่มีขีดจำกัดของตัวเอง ไม่ตกแต่งคำพูดด้วยความหลากหลายทางภาษาแบบที่ผู้ใหญ่ใช้เพื่อแสดงความคิดของตนออกมา พวกเด็กๆ มีความจริงใจในการแสดงออกมาถึงความต้องการของตัวเอง ดังนั้นผู้ใหญ่ต้องทำเพื่อเด็กๆให้มากๆ และต้องแบ่งปันให้กับพวกเขามากๆด้วย เพราะพวกเขาต้องพึ่งพาผู้อื่นโดยสิ้นเชิงในการที่จะเติบโตต่อไป ท่าทีและทัศนคติที่ไว้วางใจโดยสิ้นเชิงเป็นสิ่งที่จำเป็นของพวกเขาที่จะมีชีวิตรอดต่อไป
ในพระวรสารของวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงจูงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางบรรดาศิษย์ และตรัสสอนพวกเขาว่า "ผู้ใดที่ต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ใดที่ต้อนรับเรา ก็มิใช่ต้อนรับเพียงเราเท่านั้น แต่ต้อนรับผู้ที่ทรงส่งเรามาด้วย" ในประโยคที่ว่านี้ พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสให้บรรดาศิษย์ทำตนเป็นเหมือนเด็กๆ ทำให้น่าคิดว่า บรรดาศิษย์มีปัญหาเกี่ยวกับการต้อนรับคนเล็กคนน้อยหรือ (having a problem about welcoming littleness?)
การไร้อำนาจ (Powerlessness)
ถ้ายังจำได้ในพระวรสารของอาทิตย์ที่แล้ว พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงพระองค์เองในฐานะเป็นบุตรแห่งมนุษย์ที่จะต้องทนทุกข์ และถูกปฏิเสธ และจะถูกฆ่าตาย เมื่อทรงทำนายล่วงหน้าถึงพระทรมานแล้ว ทรงเชื้อเชิญให้ผู้ที่ติดตามพระองค์แบกไม้กางเขนของตน และในพระวรสารของอาทิตย์นี้ พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จผ่านแคว้นกาลิลีอย่างลับๆ พลางใช้เวลานี้เพื่อสั่งสอนบรรดาศิษย์กว่าบุตรแห่งมนุษย์จะถูกประหารชีวิตอย่างไร ภารกิจในแคว้นกาลิลีจบสิ้นลงแล้ว ถนนที่มุ่งไปสู่กรุงเยรูซาเล็มกำลังกวักมือเรียก ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงอยากทราบว่าบรรดาศิษย์ของพระองค์จะเข้าใจความหมายหรือไม่ว่าอะไรที่รอคอยอยู่ข้างหน้า
นักบุญมาระโกเล่าว่าบรรดาศิษย์ตอบสนองเรื่องคำทำนายครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับพระทรมานของพระองค์ว่าเป็นเช่นไร "บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ แต่ก็ไม่กล้าทูลถาม" บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจอนาคตที่ไร้อำนาจที่พระเยซูเจ้าทรงวาดภาพถึงพระองค์เอง พวกเขาไม่กล้าทูลถามพระองค์ อาจเป็นเพราะ กลัวว่าสิ่งที่พวกเขาสงสัยว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้นจะได้รับคำยืนยันว่าเป็นจริง หรืออาจเป็นได้ว่าพระองค์มิได้ทรงหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ หรือว่าพระองค์จะทรงเผชิญกับความเลวร้ายโดยไม่ต้องใช้กลอุบายของอำนาจแต่อย่างไร บรรดาศิษย์ไม่สามารถเผชิญหน้ากับภาพที่จะเกิดขึ้นเช่นนั้น ดังนั้น พวกเขาจึงถกเถียงกันเองว่าผู้ใดจะยิ่งใหญ่กว่ากัน และเมื่อมาอยู่กันตามลำพังในบ้าน พวกเยซูเจ้าตรัสถามว่า "ท่านถกเถียงกันเรื่องอะไรขณะที่เดินทาง" พวกเขานิ่ง เต็มไปด้วยความอับอาย ในท่ามกลางความเงียบงันนั้น พระเยซูเจ้าทรงจูงเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงโอบเด็กนั้นไว้ และทรงท้าทายบรรดาศิษย์ให้ยอมรับผู้ที่เล็กน้อยที่สุดให้ได้ เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาสามารถต้อนรับเด็กเล็กคนนั้นได้ พวกเขาก็จะสามารถต้อนรับพระเยซูเจ้าองค์ที่แท้จริง (the real Jesus) ได้
วิถีทางของพระเยซูเจ้า (The way of Jesus)
พระเยซูเจ้าทรงเปรียบพระองค์เองกับเด็กเล็กๆ ที่ไม่พึ่งพิงกับขุมกำลังอำนาจทางฝ่ายโลกเมื่อทรงถูกคุกคาม และถูกทำร้าย ผู้ที่จะทรงปกป้องพระองค์คือพระบิดาเท่านั้น ทรงมอบความไว้วางใจอย่างหมดสิ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อความทุกข์ทรมานเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงละทิ้งความไว้วางใจที่ได้มอบไว้ให้กับพระบิดาอย่างเด็ดขาด แม้จากความไว้วางใจนั้น พระองค์จะต้องทรงรับความเจ็บปวดทรมาน เหมือนเป็นเด็กเล็กๆ ที่ช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ ดังนั้น จนกว่าบรรดาศิษย์จะต้องรับเอาความเจ็บปวดทรมานที่พวกเขาไม่เข้าใจได้ พวกเขาถึงจะเข้าใจวิถีทางของพระเยซูเจ้า
กล่าวคือพระเยซูเจ้าเสนอข้อท้าทายให้บรรดาศิษย์ต้อนรับสภาวะที่ไร้อำนาจ มอบหัวใจให้กับสมาชิกที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม ควรมีน้ำใจเป็นพิเศษต่อผู้เล็กน้อยที่สุดที่ไม่สามารถตอบแทนอะไรเราได้เลย ความเจ็บปวดทรมานของพวกเขาเหล่านั้นมิใช่เป็นเพียงสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาแบ่งปันเท่านั้น แต่ยังทรงให้คุณค่าด้วย
ดังนั้น บนหนทางที่มุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้อยู่ห่างไกลจากการแสวงหาอำนาจและเกียรติยศ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่รูปแบบของการเป็นศิษย์ของพระองค์ ทรงเชื้อเชิญให้พวกเขาเปิดใจครั้งใหม่แด่พระบิดา ไม่มีอำนาจใดฝ่ายโลกนี้จะช่วยให้พระองค์ทรงรอดพ้นจากความตายที่กรุงเยรูซาเล็ม มีเพียงพระบิดาของพระองค์ผู้เดียวที่สามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากการถูกทอดทิ้งให้จมอยู่กับความตาย นั่นคือสิ่งที่พระบิดาจะทรงกระทำ และนั่นคือการที่พระบิดาทรงต้อนรับความไว้วางใจของผู้ที่เล็กน้อยที่สุด
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อ 15 กันยายน 2021
Based on : Seasons of the Word ; by : Denis McBride, C.SS.R.)