บทเทศน์บทรำพึง
อาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ปี B
"จงไปประกาศพระวาจาแก่ประชากรของเรา" ("Go, prophesy to my people")
การเผชิญหน้าต่อการแบ่งแยก (Confronting division)
ในบทอ่านแรกวันนี้เราจะได้รับรู้ถึงหนึ่งในคุณลักษณะยิ่งใหญ่ของการเล่าเรื่องในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ฆราวาสที่ชื่อว่าอาโมส ซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาได้กลับกลายเป็นประกาศก อาโมสมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในดินแดนเทือกเขาของยูดาห์ ห่างจากเมืองเบธเลเฮมไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 5 ไมล์(หรือประมาณ 8 กิโลเมตร) ท่านได้รับการเรียกจากพระเจ้า (จะเป็นในรูปแบบไหนเราไม่รู้) ที่เรารู้คือท่านต้องผละจากงานและแผ่นดินของท่าน และถูกผลักดันให้ไปทำงานในฐานะประกาศกในดินแดนอื่น อาโมสเป็นคนซื่อๆ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่เง่ากับคำพูดไร้สาระที่มากระทบหูท่าน ท่านเป็นผู้ที่สังเกตและวิเคราะห์สภาพทางสังคมและศาสนา เป็นประกาศกคนแรกที่อุทิศตนในงานเขียน เป็นนักเล่าเรื่องที่รู้ว่าจะประกาศข่าวสารออกมาอย่างไรให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
ช่วงเวลานั้นเป็นราวๆกลางศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล อาโมสถูกส่งไปยังอาณาจักรทางเหนือ คือ อิสราเอล (อาณาจักรทางใต้คือ ยูดาห์ - ผู้แปล) ซึ่งในขณะนั้นกำลังรุ่งเรืองสุดขีดทั้งขุมอำนาจและความร่ำรวย ผืนดินมีความสมบูรณ์มาก บ้านเมืองถูกสร้างอย่างงดงามตระการตา พระราชวังต่างๆมีสิ่งปลูกสร้างคอยป้องกันอย่างแน่นหนา คนที่ร่ำรวยมีบ้านพักฤดูร้อนและฤดูหนาวประดับประดาด้วยงาช้างที่มีค่ามาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีการคอรัปชั่นและการผิดศีลธรรมอย่างแพร่หลาย คนยากจนต้องทุกข์ทนมาก ถูกแสวงหาผลประโยชน์ แม้แต่ถูกขายไปเป็นทาส เป็นดินแดนที่ปราศจากความยุติธรรมและความสงสาร บรรดาผู้พิพากษาก็รับสินบน คนบริสุทธิ์ถูกทรยศหักหลัง
ในท่ามกลางความฟุ้งเฟ้อและความทุกข์ยากลำเค็ญ ประชาชนหลั่งไหลกันไปที่สักการสถานในช่วงเทศกาลเพื่อทำตามระเบียบทางพิธีกรรม อาโมสถือว่าการปฏิบัติศาสนาของพวกเขาเป็นการลงทุนที่จอมปลอม และเป็นที่เกลียดชังในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้นท่านได้พูดถึงพระวาจาของพระเจ้าดังนี้
"เราเกลียด เรารังเกียจเทศกาลฉลองของพวกท่าน
เราไม่พอใจการประชุมสง่างามของท่าน
แม้ท่านทั้งหลายถวายเครื่องเผาบูชา
เราก็ไม่พอใจธัญบูชาของท่าน
เราไม่มองสัตว์อ้วนพีที่ท่านถวายเป็นศานติบูชา
จงให้เสียงอึกทึกของบทเพลงของท่านอยู่ห่างจากเรา
เราทนฟังเสียงพิณใหญ่ของท่านไม่ได้
แต่จงให้ความยุติธรรมหลั่งไหลลงเหมือนน้ำ
และให้ความชอบธรรมเป็นเหมือนธารน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้ง" (อมส 5:21-24)
ให้คงความซื่อสัตย์ไว้ (Staying loyal)
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของอาโมสซึ่งเป็นคนนอก(ถิ่น) ที่จะใช้พรสวรรค์ของตนทำลายความสงบสุขนั้นเสีย ท่านได้ไปที่สักการสถานเบธเอล ซึ่งเป็นสักการสถานของกษัตริย์ และเป็นพระวิหารของอาณาจักร ที่นั่นท่านต้องเผชิญหน้ากับอามาซิยาห์ สมณะแห่งเบธเอล ซึ่งเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของอาโมสก็มีความโกรธอย่างยิ่ง เขากล่าวหาอาโมสว่าเป็นคนที่ไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นเล่ห์กลแบบเก่าๆที่จะลบความน่าเชื่อถือของประกาศกที่มาทำให้ตำแหน่งของเขาสั่นสะเทือน จึงฟ้องไปยังกษัตริย์ว่า "อาโมสวางแผนต่อต้านพระองค์... แผ่นดินนี้ไม่สามารถทนฟังคำพูดของเขาได้อีกต่อไป"
ในบทอ่านของวันนี้ สมณะได้บอกให้ประกาศกกลับบ้านไป และปล่อยให้สักการสถานของกษัตริย์อยู่อย่างสงบ อาโมสได้ตอบโดยเล่าเรื่องชีวิตจริงของท่าน ว่าท่านไม่ได้เคยเป็นสมาชิกใดๆของกลุ่มประกาศก ท่านเป็นคนเลี้ยงสัตว์และบัดนี้ท่านเป็นเหมือนโฆษกของพระเจ้า สาเหตุเดียวที่ท่านต้องเปลี่ยนไปจากการประกอบอาชีพเดิมก็คือ พระเจ้าทรงให้ท่านเลิกต้อนฝูงแพะแกะ และให้ท่านไปประกาศพระวาจาแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์
อาโมสได้ตอบซื่อๆว่าท่านไม่ได้เป็นประกาศกโดยแต่งตั้งตัวเอง หรือโดยการแต่งตั้งจากกษัตริย์ แต่ท่านถูกเกณฑ์โดยพระเจ้าให้มาประกาศข่าวสารของพระองค์ เพราะฉะนั้นท่านไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับสมณะเรื่องความซื่อสัตย์ หรือความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ท่านขอซื่อสัตย์ต่อพระวาจาของพระเท่านั้น ซึ่งท่านถือว่าสำคัญมากที่สุดในชีวิตของท่าน
อำนาจของ(การประกาศ)พระวรสาร (The authority of the Gospel)
พระวรสารของวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวกทั้งสิบสองเข้ามาพบ และทรงส่งพวกเขาออกเดินทางไปทำงานธรรมทูต เช่นเดียวกับประกาศกอาโมส สานุศิษย์ที่ได้รับเลือกสรรให้ทำหน้าที่นี้จะต้องนำพระวาจาของพระเจ้าไปมอบให้กับคนอื่นๆ ในภารกิจนี้บรรดาอัครสาวกได้รับอำนาจและพลังจากพระเยซูเจ้า พวกเขาต้องเดินทางไปบนพื้นฐานนี้เท่านั้น
ดังนั้น พวกเขาต้องไม่ขึ้นกับทรัพยากรใดๆของตนเอง แต่ขึ้นกับอำนาจที่พวกเขาได้รับมอบ และมิตรไมตรีที่อาจได้รับจากผู้ที่เขาไปประกาศข่าวดีเท่านั้น ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม เงิน และเสื้อผ้าสำรองไปด้วย ให้มีแต่ไม้เท้า และสวมรองเท้าได้ (สังเกต ของสองสิ่งนี้ คือไม้เท้า กับ รองเท้า เป็นสิ่งที่เหมาะกับการเดินทางไปในที่ต่างๆ) ถ้าพวกอัครสาวกจะมีขนมปังกิน หมายความว่าประชาชนไม่เพียงแสดงน้ำใจดีต่อพวกเขาเท่านั้น แต่หมายถึงยอมเปิดใจต่อพระวาจาที่พวกเขานำไปประกาศด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้รับการต้อนรับ ก็ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น นอกจากออกจากที่นั่นไปที่อื่น และเมื่อเมืองไหนที่ปฏิเสธ ก็จงสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานกล่าวโทษเขา (การสลัดฝุ่นจากเท้า เป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์ที่ชาวยิวผู้เคร่งครัดทั้งหลายได้กระทำเมื่อพวกเขาได้กลับคืนสู่ดินแดนปาเลสไตน์ หลังการเดินทางไปเมืองนอกกลับมา)
ทั้งบรรดาประกาศก และบรรดาอัครสาวกจะต้องพึ่งพาอำนาจและพลังที่พวกเขาได้รับมอบ ในการเดินทางไปตามถนนต่างๆ พวกเขาจะได้ทดสอบว่าข่าวสารของเขาในต่างแดนจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะเห็นว่าความมั่นใจของพวกเขาสามารถผ่านพ้นขีดจำกัดของชาติที่แตกต่าง และบุคคลที่เย็นเฉยได้หรือไม่ พวกเขาจะค้นพบว่ากระแสเรียกของพวกเขาจะยังยืนยงคงอยู่ได้แม้บางครั้งอาจจะไม่ได้รับการยอมรับ เพราะว่าไม่ใช่เพียงเรื่องข่าวสารที่นำไปประกาศเท่านั้นที่จะถูกทดสอบ แต่ตัวผู้ไปประกาศก็ถูกประเมินด้วย
กระบวนการนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่องไปทุกเมื่อเชื่อวันในชีวิตของพระศาสนจักรและของโลกนี้ - ทุกๆครั้งที่ผู้เทศน์ยืนหยัดตนเองว่าจะประกาศพระวาจาของพระเจ้า - ทุกๆครั้งที่คริสตชนคนใดคนหนึ่งปฏิบัติตนตามคุณค่าแห่งพระวรสารต่อสาธารณะ - ทุกๆครั้งที่ไม่ว่าหญิงหรือชายคนใดที่ยืนหยัดขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรม ฯลฯ
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2018
Based on : Seasons of the Word, by Denis McBride)