ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา ปี B
เมล็ดเล็กๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่
ในบทอ่านแรกเราได้ฟังอุปมานิทัศน์ของประกาศกเอเสเคียล (Ezekiel 's allegory) เกี่ยวกับต้นสนสีดาร์ ต้นสนสีดาร์ในที่นี้เป็นสัญลักษณ์ถึงอาณาจักรของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าจะฟื้นฟูบูรณะขึ้นมาใหม่หลังการเนรเทศ "หน่อ" หรือ "แขนง" (ดู อสย 11:1) หมายถึง บรรดาผู้สืบทอดเชื้อสายของเยโฮยาคีน ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ดาวิดก่อนการเนรเทศ บรรดานกและสัตว์ต่างๆ เป็นตัวแทนของชาติต่างๆบนโลกนี้
"เราจะนำแขนงจากยอดต้นสนสีดาร์สูง
...เราจะปลูกแขนงนี้ ไว้บนภูเขาสูงของอิสราเอล
แขนงนี้จะแตกกิ่งก้านและบังเกิดผล
จะเป็นต้นสนสีดาร์ที่สง่างาม
และนกทุกชนิดจะมาอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้นี้
สัตว์ปีกต่างๆ จะมาพักในร่มกิ่งของต้นไม้นี้" (อสค 17:22-23)
คำทำนายนี้แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรของกษัตริย์ดาวิดจะเป็นมากกว่าการได้รับฟื้นฟูให้มีสถานภาพเช่นดังก่อนการเนรเทศ แต่หมายถึงความเป็นจริงขั้นครบสมบูรณ์ของอาณาจักรแห่งพระเมสสิยาห์เลยทีเดียว คำทำนายนี้จะได้รับการเติมเต็มในอาณาจักรของพระคริสต์ ซึ่งพระศาสนจักรสามารถชิมลางล่วงหน้าได้
พระเยซูเจ้าทรงใช้นิทานเปรียบเทียบเพื่ออธิบายเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า ข้อความในพระวรสารของสัปดาห์นี้ประกอบด้วยนิทานเปรียบเทียบสั้นๆ 2 เรื่อง คือเรื่องเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน และเจริญเติบโตขึ้นอย่างลึกลับ และเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด นิทานเปรียบเทียบแต่ละเรื่องต่างก็มีคำอธิบายง่ายๆของตนเอง เรื่องแรกสอนให้เราไว้วางใจในพระเยซูเจ้าโดยสิ้นเชิง เพราะในพระองค์อาณาจักรของพระเจ้าได้ฝังรากแล้วและกำลังเจริญเติบโตขึ้น แม้มองไม่เห็นภายนอกในตอนแรก แต่เมล็ดพันธุ์แห่งอาณาจักรนี้จะบังเกิดผลทบทวีในยามเก็บเกี่ยว พระเยซูเจ้าอาจจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบนี้เพื่อส่งสัญญาณตรงไปยังกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง เช่น กลุ่มผู้รักชาติ(the zealots) ผู้สนับสนุนให้ใช้อาวุธเป็นกบฏต่อต้านอำนาจของพวกโรมันก็ได้
ส่วนคำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด พูดถึงเรื่องความเติบโตเหมือนในเรื่องแรกก็จริง แต่เน้นเรื่องของการกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นตรงข้ามกับความเล็กของเมล็ดในตอนเริ่มต้น เมล็ดมัสตาร์ดอาจหมายถึงการเริ่มต้นศาสนบริการของพระเยซูเจ้าซึ่งเริ่มต้นเล็กๆ และดูเหมือนว่าคนไม่ให้ความสำคัญประการใด แต่แล้วจะเติบโตเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ชี้ไปถึงเหตุการณ์สุดท้ายในสากลจักรวาลที่เติมเต็มอาณาจักรของพระเจ้าให้ครบสมบูรณ์ ความต่างกันระหว่างอุปมา 2 เรื่องนี้ คือ เรื่องแรกเน้นไปที่ว่าชาวนาไม่สามารถทำอะไรได้ในเรื่องที่พืชเติบโต และให้ผลผลิต ในขณะเรื่องที่สองเน้นไปที่ความแตกต่างกันอย่างชัดเจนของการเริ่มต้นแบบเล็กๆ และความสำเร็จอย่างท่วมท้นในตอนสุดท้าย
นักบุญเปาโลเองก็เคยใช้ภาษาเล่าเรื่องของการปลูก และการเติบโต "ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น" (1คร 3:6) และ "การกลับคืนชีพของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่หว่านลงไปนั้นเน่าเปื่อย แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นไม่เน่าเปื่อยอีก สิ่งที่หว่านลงไปนั้นไม่มีเกียรติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีความรุ่งเรือง สิ่งที่หว่านลงไปนั้นอ่อนแอ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีอานุภาพ สิ่งที่หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต" (1คร 15:42-44) แต่สิ่งที่เราได้ฟังในบทอ่านที่สองของวันนี้ นักบุญเปาโลบอกว่า "แต่ละคนจะได้รับสิ่งตอบแทนสมกับที่ได้ทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ในร่างกาย ขึ้นอยู่กับการกระทำนั้นว่าจะดีหรือชั่ว" (2คร 5:10) เหมือนกับท่านได้พูดว่า "คุณหว่านพืชอย่างไร ย่อมได้ผลอย่างนั้น"
อันที่จริงเราสามารถคิดถึงเรื่องการเติบโตได้มากมายหลายระดับ ประการแรก ในตัวตนของเราแต่ละคน เราต้องระมัดระวังว่าเราหว่านอะไรลงไป แม้ว่าเป็นเรื่องเล็กๆ และไม่มีความสำคัญใดๆในตอนเริ่มต้น - ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี - ว่ามันสามารถเกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ในตอนปลายก็ได้ เช่น นิสัยไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ อาจจะทำให้บุคลิกภาพของเราพัฒนาไปในแบบที่แย่มากหรืออ่อนแอมากก็ได้ และตรงข้าม กิจการดีเล็กๆ อาจทำให้เราเก็บเกี่ยวผลได้อย่างชื่นใจในอนาคต
ประการที่สอง พระวาจาของอาทิตย์นี้สอนเรื่องของความอดทน เดี๋ยวนี้ บางทีเป็นบาปต้นของพ่อแม่บางคนในเรื่องนี้ คือ พวกเขาอยากเห็นลูกๆของเขาโตขึ้นเป็นคนร่ำรวย มีอำนาจบารมีอย่างรวดเร็ว เช่นเมื่อไปถามพ่อแม่ของเด็กว่า ลูกๆคุณอายุเท่าไรแล้ว พวกเขาอาจตอบว่า "คนที่จะเป็นทนายความอายุ 5 ขวบ และว่าที่คุณหมออายุ 4 ขวบแล้ว"
ประการที่สาม ในระดับครอบครัว เราต้องเพียรพยายามหว่านเมล็ดพันธุ์ดี เช่น การภาวนาประจำทุกๆวัน การอ่านพระวาจาของพระเจ้าเสมอๆ ฯลฯ ลูกๆของเราจะประทับสิ่งดีๆ เหล่านี้ไว้ลึกๆ ในใจเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น
และสุดท้าย ในระดับชุมชน หรือระดับวัด เราต้องตระหนักว่าแม้ความเพียรพยายามในการทำสิ่งดีเล็กๆน้อยๆ ที่ดูไม่ค่อยสำคัญของเรา ต่อไปในระยะยาวอาจจะนำไปสู่กิจการทรงคุณค่าที่ใหญ่และมั่นคงได้ อาจจะทำให้ประชาคมมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่งก็ได้
บ่อยครั้งที่เราจะได้ยินว่าพระศาสนจักรเปรียบตนเองกับอาณาจักรของพระเจ้า หรือที่ดีกว่าคือเปรียบกับการบริการรับใช้ของอาณาจักรนี้ เหมือนกับต้นโอ้คใหญ่ หรือ ต้นไทรใหญ่ ที่เชื้อเชิญบรรดานกทั้งหลายให้มาพักและมาทำรังบนกิ่งก้านสาขาของมัน และกินผลของมันด้วย ดังนั้น พระศาสนจักรจะต้องเปิดตัวเองและเชื้อเชิญทุกผู้คนให้เข้ามา จงจำไว้ว่าไม่ว่าเราจะหว่านอะไรลงไป - ในเราเอง หรือในครอบครัว หรือในวัด หรือในโลกของเรา - ท้ายที่สุดแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทรงเป็นผู้หว่านที่ทรงฤทธิ์ และพระจิตของพระองค์ จะทรงทำให้เมล็ดเล็กๆของเราบังเกิดผลสมบูรณ์ และจะทรงชุบเลี้ยงเราด้วยผลจาก "ต้นไม้แห่งชีวิต" (วว 2:7)
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2018
Based on : Sunday Seeds for Daily Deeds ; by Francis Gonsalves, S.J.)