ข้อคิดข้อรำพึง
สมโภชพระจิตเจ้า ปี B
พระจิตเจ้าสถิตภายในเรา (The Spirit Within Us)
ในวันสมโภชปัสกาครั้งหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งที่นานๆจะไปวัดได้ตัดสินใจจะไปวัด เมื่อจบมิสซาสมโภชแล้ว ผู้เป็นแม่ได้พูดขึ้นว่า "ฉันคิดว่าคณะนักขับร้องเพลงผิดคีย์ไปนิดๆนะ" ผู้เป็นพ่อก็พูดต่อว่า "ฉันว่าเนื้อหาบทเทศน์ก็จืดชืดน่าเบื่อหน่ายด้วย" ลูกชายอายุ 9 ขวบจึงพูดขึ้นบ้าง "ผมคิดว่าทุกอย่างค่อนข้างดีแล้ว เหมาะสมกับเงินทำบุญที่พ่อแม่ใส่ลงไปในถาดเก็บเงินครับ"
เราทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเวลาที่ได้รับศีลล้างบาปและรับศีลกำลัง พระพรต่างๆของพระจิตช่างน่าพิศวงนัก ลองทบทวนดูนะครับ คือทำให้เราได้รับ "จิตแห่งความปรีชาฉลาด และสติปัญญา พระจิตเป็นที่ปรึกษา และความกล้าหาญ พระจิตแห่งความรู้ และความศรัทธา ประการสุดท้ายคือ พระจิตแห่งความเคารพยำเกรงพระเจ้า" (คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 1303) เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้พระพรของพระจิตเหล่านี้ ดังที่ Fr. Daniel Durken ได้กล่าวไว้ว่า พระจิตเจ้าจะเสด็จมาเพื่อขจัดหรือขับไล่ A, B, C, D's ออกไปจากชีวิตของเรา [A = Apathy ความไม่แยแส, B = Boredom ความเบื่อหน่าย, C = Coldness ความเย็นชา, D = Dullness ความขุ่นมัว etc., ถ้าเป็นพยัญชนะไทยก็เป็นว่า ขอเชิญพระจิตเจ้าเสด็จมาเพื่อขจัดหรือขับไล่ ก ข ค ง... ออกไปจากชีวิตของเรา ก = (ความ)เกลียดชัง ข = ขุ่นข้องหมองใจ ค = คลุ้มคลั่ง ง = งี่เง่างุนงง ฯลฯ - ผู้แปล]
เมื่อนักบุญเปาโลได้ไปเยี่ยมพระศาสนจักรที่เมืองเอเฟซัส ท่านได้สังเกตว่าบรรดาศิษย์บางคนขาดจิตตารมณ์และความกระตือรือร้นในการประกาศศาสนา จึงถามพวกเขาตรงๆว่า "เมื่อท่านทั้งหลายมีความเชื่อนั้น ท่านได้รับพระจิตเจ้าหรือไม่" พวกเขาตอบว่า "พวกเราไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำไปว่า มีพระจิตเจ้า" นักบุญเปาโลจึงให้พวกเขาได้รับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และปกมือเหนือเขา พระจิตเจ้าก็เสด็จลงมาประทับอยู่ด้วย เขาจึงพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และกล่าวคำทำนาย คนกลุ่มนี้มีประมาณสิบสองคน (เทียบ กจ 19 : 2-7) ถ้าเราจะตั้งคำถามว่าทำไมบรรดาอัครสาวกแค่ 12 องค์ก็สามารถนำพาผู้คนมากมายให้มารับนับถือพระอาจารย์เจ้าได้ในสมัยนั้น ในขณะที่คริสตชนจำนวนเป็นพันล้านคนในปัจจุบันไม่สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เก่งกาจกล้าหาญแบบเดียวกันนั้นได้ในสมัยนี้ คำตอบอยู่ที่ บรรดาอัครสาวกได้ใช้พระพรทุกประการของพระจิตอย่างเต็มที่ ในขณะที่พวกเราไม่ได้ทำดังนั้น
พระพรนานัปการของพระจิตทำงานในชีวิตธรรมดาๆของพวกเราภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ธรรมดา ด้วยความช่วยเหลือจากพระจิตเจ้าประชาชนจะทำให้บังเกิดผลในขีดขั้นใหม่ๆ ที่เราไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส มีผู้มาแจ้งข่าวให้มหาธิการิณีของอารามคาร์เมไลท์แห่งหนึ่งทราบว่า ในวันรุ่งขึ้นบรรดาซิสเตอร์ทั้งหมดในอารามจะถูกประหารด้วยเครื่อง กีโยตีน (guillotine) คุณแม่อธิการจึงบอกบรรดาซิสเตอร์ว่าประตูอารามจะเปิดเสมอสำหรับคนที่ต้องการจะหนีไป มีเพียงซิสเตอร์คนเดียวที่หนีไป วันรุ่งขึ้น บรรดาซิสเตอร์ที่เหลือทั้งหมดถูกนำไปที่เครื่องประหาร ในขณะที่พวกซิสเตอร์กำลังจะวางศีรษะบนบล็อคของแท่นประหาร ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็ภาคภูมิใจที่ได้สังเกตเห็นซิสเตอร์คนที่หนีไปก้าวออกมาจากฝูงชนที่มาดูการประหาร และเข้ามารับการประหารพร้อมกับซิสเตอร์ทั้งหลาย อะไรที่นำเธอกลับมาหรือครับ คือพระพรแห่งความกล้าหาญจากพระจิตเจ้านั่นเอง
อีกตัวอย่างหนึ่งคือคนขอทานชราคนหนึ่งใกล้จะตายแล้ว คำพูดสุดท้ายที่เขาบอกกับลูกชายคนเล็กที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาตลอดมาว่า "ลูกรัก พ่อไม่มีสมบัติอะไรให้ลูกนอกจากถุงผ้า และขันเก่าๆสกปรกใบหนึ่งที่พ่อเก็บมาจากสนามหญ้าของเศรษฐีนีคนหนึ่งตั้งแต่พ่อยังหนุ่มๆอยู่" หลังจากผู้เป็นพ่อตายแล้ว ลูกชายคนนั้นก็ยึดอาชีพขอทานต่อไป โดยใช้ขันเก่าที่พ่อมอบไว้ให้มาใส่เงินที่คนให้ทาน วันหนึ่งมีพ่อค้าทองทำทานด้วยการโยนเหรียญลงไปในขัน เขาต้องแปลกใจมากที่ได้ยินเสียงเหรียญที่กระทบขันดังกังวาน และเป็นเสียงที่คุ้นเคย จึงบอกเด็กหนุ่มว่า "ขอดูขันใบนี้หน่อย" เมื่อเช็คดูแล้ว เขาแปลกใจมาก บอกเด็กหนุ่มว่า "เด็กน้อยเอ๋ย เจ้ารวยแล้ว ไม่ต้องมาขอทานแล้ว เพราะขันใบนี้เป็นทองแท้ๆ ซึ่งมีค่าอย่างน้อยสามหมื่นดอลล่าร์ทีเดียว"
พวกเราคริสตชนอาจจะเป็นแบบขอทานคนนั้นที่ไม่ตระหนักรู้และซาบซึ้งถึงคุณค่าของขันใบนั้น เราพลาดที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงคุณค่าไม่มีที่สิ้นสุดของพระจิตเจ้าผู้สถิตภายในเราแต่ละคน ผู้ทรงแบ่งปันพระพร ผลิตผล และความสามารถพิเศษต่างๆให้กับพวกเรา ดังนั้นในวันสมโภชนี้จึงขอเชิญให้ชาวเราเข้ามาสู่ประสบการณ์และตระหนักรู้อย่างซาบซึ้งในการประทับของพระจิตเจ้าภายในเรา ที่จะเปลี่ยนแปลงเรา ที่จะเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ และทำให้เรามีความเข้มแข็ง และนี่ควรเป็นวันที่เรารื้อฟื้นคำสัญญาของเราที่ให้ไว้เมื่อรับศีลล้างบาป และศีลกำลัง ว่าจะประกาศความเชื่อ และปฏิบัติตามความเชื่อนั้น
นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) เคยกล่าวว่า "มีกองกำลังสองชนิดในโลกนี้ คือกองกำลังทหารติดอาวุธ กับกองกำลังทางฝ่ายจิต แต่กองกำลังทางฝ่ายจิตมีความเข้มแข็งกว่า" ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมเราจึงไม่พิสูจน์ด้วยชีวิตของเราเองเล่า
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2018
Based on : Ignite Your Spirit, by Fr. John Pichappilly)