ข้อคิดข้อรำพึง
สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ปี B
พระเมสสิยาห์ผู้โบยบิน (The Flying Messiah)
เมื่อเราพยายามเดินทางไปยังดวงดาวอื่น มักแฝงไว้ด้วยอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1967 มีการทดลองปล่อยยานอวกาศชื่อว่าอพอลโลที่หนึ่ง (Apollo I) ขึ้นจากฐานที่ตั้งขึ้นสู่วงโคจรของโลก ซึ่งมีนักบินอวกาศ 3 คนอยู่ในแคปซูลของยานอพอลโล เพิ่งขึ้นไปได้เพียง 31 ไมล์ เกิดระบบไฟฟ้าขัดข้อง เปลือกหุ้มฉนวนปริออก ฉนวนไฟฟ้าทำปฏิกริยาเคมีอย่างรุนแรงกับท่อเย็นที่อยู่ใกล้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมา ภายในไม่กี่วินาทีเปลวไฟพลุ่งขึ้นบนเพดานห้องเคบิน ขณะนั้นเป็นเวลา 18.31 น. นักบินอวกาศที่ชื่อ โรเจอร์ ชาฟฟี (Roger Chaffee) รายงานว่า "มีไฟเกิดขึ้นที่ห้องของนักบิน" ไม่กี่วินาทีต่อมา ยานอพอลโลก็ระเบิด นักบินอวกาศทั้งสามคนเสียชีวิตทันที ผู้เกี่ยวข้องทุกคนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
ในอีกสองปีต่อมา เมื่อยานอพอลโลที่ 11 (Apollo XI) พร้อมจะส่งมนุษย์ไปสำรวจดวงจันทร์ ประธานาธิบดีนิกสัน (President Nixon) ได้ขอให้ วิลเลียม ซาไฟร์ (William Safire) เขียนคำประกาศหัวข้อว่า "ความล้มเหลวในเหตุการณ์สำรวจดวงจันทร์" ในกรณีถ้าหากภารกิจนี้มีข้อผิดพลาด ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ ประธานาธิบดีนิกสันจะอ่านคำประกาศนี้ทางโทรทัศน์ การติดต่อใดๆ ทางวิทยุกับยานลำแม่จะถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง บรรดานักบินอวกาศจะถูกปล่อยให้ตายอย่างเดียวดาย และพระทางศาสนาจะมาสวดส่งวิญญาณของพวกเขาให้ไปสู่ที่ลึกลับที่สุดในห้วงจักรวาล แต่โชคดีที่เหตุการณ์ที่เผื่อเอาไว้ไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ในวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 กระสวยอวกาศก็ร่อนลงเหนือแผ่นผิวของดวงจันทร์ นักบินอวกาศที่ชื่อ นีล อาร์มสรอง ได้โผล่อออกจากยานปีนลงบันไดไปยังพื้นผิวของดวงจันทร์ที่มีสีเทาๆ ได้เป็นผลสำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ได้ย่างเหยียบลงไปบนดาวดวงอื่นบนท้องฟ้าที่แผ่กว้างไกล
หลังจากที่จบภารกิจ และกลับมาสู่โลกอย่างปลอดภัยแล้ว บรรดานักบินอวกาศได้เดินทางไปรับประทานอาหารค่ำที่จัดเป็นเกียรติให้กับพวกเขาที่กรุงวอชิงตันดีซี ประธานาธิบดีได้มอบเหรียญอิสรภาพของประธานาธิบดี (The Presidential Medal of Freedom) ให้นักบินอวกาศแต่ละคน ช่างเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติที่สามารถใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการประกอบภารกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกระทำกิจการแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด รวมถึงการไถ่มนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปสำเร็จเสร็จสิ้นอย่างครบบริบูรณ์แล้ว - เมื่อพระองค์เสด็จผ่านพ้นหมู่เมฆขึ้นไป และเสด็จถึงสวรรค์แล้ว - ก็น่าจะเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพราะพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว พระองค์ได้ทรงประกอบภารกิจที่สำคัญและอันตรายที่สุดจนครบสมบูรณ์แล้ว อันที่จริง พระองค์ทรงเผชิญกับการประจญทุกๆชนิด แต่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อบาปเลย พระองค์ทรงยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางผู้คนที่มีความเกลียดชังอย่างรุนแรงด้วยความจริงและความรักเพียงเท่านั้น พระองค์อาจจะทรงร้องขอความช่วยเหลือจากกองทัพเทวดาเพื่อช่วยพระองค์ให้รอดพ้นได้ แต่กลับทรงเต็มพระทัยนอบน้อมต่อพระเจ้าและทรงกระทำให้ภารกิจของพระองค์สำเร็จไปโดยทรงถวายชีวิตเป็นพลีบูชา เพื่อนำประชาชนกลับมาหาพระเจ้า เหตุนี้ ทำให้พระองค์ได้ทรงทำลายความตาย และ ณ บัดนี้ พระองค์ทรงกลับคืนสู่ชัยชนะ พระบิดาทรงต้อนรับพระเยซูเจ้ากลับบ้าน และให้ประทับเบื้องขวาของพระองค์ ซึ่งเป็นที่ที่ทรงเกียรติสูงสุด พระองค์ทรงมอบอำนาจทั้งมวลให้กับพระเยซูเจ้า (Kevin Miller)
หรือเราอาจจะเปรียบเทียบในห้วงเวลาสวมมงกุฎอย่างสง่าของพระเจ้าชาร์ลเลอมาญ (Charlemagne) ผู้ทรงต่อสู้มาเป็นเวลาหลายปีก่อนจะสถาปนาจักรวรรดิขึ้นมาได้ โดยผ่านการทำสงคราม การตราบทกฎหมาย การปฏิรูปการศึกษา และสิ่งที่เกี่ยวข้องอื่นๆอีก พระองค์ทรงสามารถช่วยโลกให้รอดพ้นจากพวกป่าเถื่อน (barbarism) พวกใช้ความรุนแรง และพวกโง่เขลา และเริ่มต้นที่จะพัฒนาความฝันของการมีอารยธรรมให้เป็นความจริงขึ้นมา ในวันคริสต์มาสปี ค.ศ. 800 พระองค์ทรงได้รับการสวมมงกุฎเป็นนักปกครองเหนือดินแดนทั้งหมดที่เราเรียกว่าจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Roman Empire) พระองค์ทรงสามารถทำให้จักรวรรดินี้มีเกียรติภูมิ มีความศักดิ์สิทธิ์ และความมั่นคงทั้งทางฝ่ายรัฐและทางฝ่ายของพระสันตะปาปาที่กรุงโรม ช่างเป็นการเฉลิมฉลองการสวมมงกุฎที่เหลือเชื่อ ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำอย่างยิ่ง ช่วงเวลาแห่งการสวมมงกุฎนั้นเป็นผลดีสืบทอดยาวนานต่อมาอีกเป็นพันปี และนี่เป็นประเด็นที่ต้องการกล่าวถึงคือ ในการทรงมงกุฎของพระองค์ท่านทำให้มีการเริ่มต้นรูปแบบชีวิตใหม่ ในการแผ่ขยาย และค้ำจุนให้จักรวรรดิคงอยู่ต่อไป
แต่เหตุการณ์ในอดีตเหล่านี้ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงไหน ก็ไม่อาจเทียบเท่าการสวมมงกุฎแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล คือการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซูคริสตเจ้าและประทับเบื้องขวาของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ เมื่อเราพิจารณาข้อคำสอนเรื่องการเสด็จสู่สวรรค์ เราต้องไม่คิดเพียงว่าเป็นการบรรลุจุดสูงสุดของภารกิจของพระองค์บนโลกนี้เท่านั้น จึงทรงมงกุฎแห่งชัยชนะ แต่เราต้องคิดด้วยว่า เป็นการเริ่มต้นรูปแบบใหม่แห่งภารกิจของพระองค์ โดยผ่านทางบรรดาอัครสาวกและชาวเราทั้งหลาย โดยมีพระจิตเจ้าจะเป็นผู้สนับสนุนค้ำจุน
(คุณพ่อวิชา หิรัญญการ เขียนเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.2018 Based on : Ignite Your Spirit โดย John Pichappilly)