แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันพุธ สัปดาห์ที่ 3

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมาระโก (มก 4:1-20)  

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสั่งสอนที่ริมทะเลสาบอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมห้อมล้อมพระองค์จนต้องเสด็จลงไปประทับบนเรือในทะเลสาบ ส่วนประชาชนทั้งหมดอยู่บนฝั่ง พระองค์ทรงสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา ในการสอนนั้น พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินอยู่เล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ก็ถูกแดดเผา และเหี่ยวแห้งไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้นคลุมมันไว้ จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงงอกขึ้น เติบโต และเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”

      เมื่อประชาชนจากไปแล้ว อัครสาวกสิบสองคนกับผู้ที่อยู่รอบ ๆ พระองค์ ทูลถามเรื่องอุปมา พระองค์ตรัสตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้ท่านทั้งหลายรู้ แต่สำหรับคนที่อยู่ภายนอก ทุกสิ่งแสดงออกเป็นเพียงอุปมา ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพื่อเขาจะมองแล้วมองเล่า แต่ไม่เห็น ฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเขาคงได้กลับใจ และพระเจ้าคงจะทรงให้อภัยเขา

      พระองค์ตรัสว่า “ท่านไม่เข้าใจอุปมานี้ แล้วจะเข้าใจอุปมาอื่น ๆ ได้อย่างไรเล่า ผู้หว่านพืชนั้นหว่านพระวาจา เมล็ดที่ตกริมทางหมายถึงบุคคลซึ่งรับพระวาจาที่หว่าน เมื่อเขาได้ฟังพระวาจา ซาตานก็มาช่วงชิงพระวาจาที่หว่านในตัวเขาไป เช่นเดียวกัน เมล็ดที่ตกบนหินหมายถึงบุคคลที่ได้ฟังพระวาจา และมีความยินดีรับไว้ทันที แต่เขาไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกข่มเหงเพราะพระวาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่น ๆ เข้ามาปกคลุมพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดพืชที่ตกในที่ดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแล้วรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า และร้อยเท่า”


มก 4:1-33 อุปมา : พระคริสตเจ้าทรงเปิดเผยให้เราทราบถึงธรรมล้ำลึกแห่งอาณาจักรของพระองค์ผ่านทางการใช้เรื่องอุปมาต่างๆ การที่บรรดาอัครสาวกเข้าใจความหมายของอุปมาเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากพวกเขาจะเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่รับความเชื่อ พระคริสตเจ้าทรงสอนด้วยการใช้ภาพของเมล็ดพืชเพื่อสื่อว่าว่าการแผ่ขยายอาณาจักรนั้นจะต้องมาจากภายในและล้นออกมาในชีวิตของผู้ติดตามพระองค์  สิบสอง : เป็นการอ้างอิงที่นักบุญมาระโกใช้โดยทั่วไปเพื่อกล่าวถึงอัครสาวกสิบสองคน

CCC ข้อ 546 พระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญให้เข้าในพระอาณาจักรโดยใช้เรื่องอุปมาซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะสำคัญของคำสอนของพระองค์ อาศัยเรื่องอุปมาเหล่านี้ พระองค์ทรงเชิญทุกคนเข้ามาร่วมงานเลี้ยงของพระอาณาจักร แต่ก็ยังทรงเรียกร้องให้ต้องเลือกอย่างเด็ดขาดด้วย เพื่อจะได้พระอาณาจักรนี้จำเป็นต้องสละทุกสิ่ง คำพูดเท่านั้นไม่พอ จำเป็นต้องมีกิจการด้วย เรื่องอุปมาเป็นเสมือนกระจกสำหรับมนุษย์ เขาได้รับพระวาจาเหมือนกับพื้นดินแข็งหรือเหมือนกับดินดี? เขาทำอะไรกับเงินตะลันต์ที่ได้รับมา พระเยซูเจ้าและพระอาณาจักรที่มีอยู่ในโลกนี้ซ่อนอยู่ในความหมายของเรื่องอุปมาเหล่านี้ จำเป็นที่เราต้องเข้าในพระอาณาจักร นั่นคือต้องเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าเพื่อรู้จัก “ธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์” (มธ 13:11) สำหรับผู้ที่อยู่ “ภายนอก” (มก 4:11) ทุกสิ่งเป็นปริศนา

CCC ข้อ 2607 เมื่อพระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนา พระองค์ก็ทรงสอนเราแล้วให้อธิษฐานภาวนาด้วย การอธิษฐานภาวนาของพระองค์เป็นหนทางนำเราไปพบพระเจ้า [เป็นหนทางความเชื่อ ความหวังและความรัก] ไปพบพระบิดาของพระองค์ แต่พระวรสารก็ยังให้คำสอนที่ชัดเจนของพระเยซูเจ้าเกี่ยวกับการอธิษฐานภาวนาแก่เราด้วย คล้ายกับครูพี่เลี้ยง พระองค์ทรงรับเราตามที่เราเป็น และทรงค่อยๆ นำเราไปพบพระบิดา เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จออกไปพบประชาชนที่ติดตามพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มจากจุดที่เขารู้จักเรื่องการอธิษฐานภาวนาตามพันธสัญญาเดิมและเปิดความรู้ใหม่ๆ เรื่องพระอาณาจักรที่กำลังมาถึงให้เขาทราบ แล้วนั้นจึงทรงใช้เรื่องอุปมาเปิดเผยความใหม่นี้แก่เขา และในที่สุดพระองค์จะตรัสอย่างเปิดเผยเรื่องพระบิดาและพระจิตเจ้ากับบรรดาศิษย์ที่จะต้องเป็นครูสอนผู้อื่นให้รู้จักการอธิษฐานภาวนาในพระศาสนจักร


มก 4:3-20 อุปมาเรื่องผู้หว่านเป็นหัวใจสำคัญของการรับพระวาจาพระเจ้าของศิษย์แต่ละคน การเรียกให้มาเป็นศิษย์และพระพรแห่งความเชื่อนั้นเรียกร้องการตอบสนองเพื่อพวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดูและเติบโต การภาวนาส่วนตัวและการรำพึงพระวาจานั้นเป็นการนำเราเข้าใกล้กับพระคริสตเจ้าและพระวาจาของพระองค์มากยิ่งขึ้น การภาวนาช่วยเสริมสร้างความเชื่อของเราให้เข้มแข็ง ทำให้ความปรารถนาของเรามั่นคงในการนอบน้อมเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุภาพ และส่งผลต่อการกลับใจภายในของเราที่มุ่งไปสู่พระคริสตเจ้า

CCC ข้อ 1153 การประกอบพิธีกรรมศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นการพบกันระหว่างบุตรของพระเจ้ากับพระบิดาในพระคริสตเจ้าและพระจิตเจ้า และการพบกันนี้แสดงให้เห็นเป็นเสมือนการสนทนากันผ่านทางการกระทำและคำพูด การกระทำที่เป็นสัญลักษณ์เองก็เป็นเสมือนการพูดอย่างหนึ่งด้วย แต่จำเป็นต้องมีพระวาจาของพระเจ้าและการตอบรับด้วยความเชื่อควบคู่ไปกับการ กระทำและทำให้การ กระทำนั้นมีชีวิต เพื่อให้เมล็ดพืชของพระอาณาจักรผลิตผลในเนื้อดินที่ดี การกระทำในพิธีกรรมแสดงความหมายของสิ่งที่พระวาจาของพระเจ้ากล่าวถึง ได้แก่การริเริ่มที่พระเจ้าประทานให้เราเปล่าๆ พร้อมกับการที่ประชากรของพระองค์ตอบสนองด้วยความเชื่อ

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)