แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ข้อคิดข้อรำพึง

อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา ปี B

2nd Sunday 1

 บทอ่านแรกจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล เป็นเรื่องของประกาศกซามูเอล ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มน้อย คอยปรนนิบัติรับใช้ประกาศกเอลี ซึ่งขณะนั้นมีอายุมากแล้ว และดวงตาทั้งสองข้างของท่านก็ดับสนิทมองไม่เห็นแล้ว หนุ่มน้อยซามูเอล นอนอยู่ในสักการสถานที่มีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก “ซามูเอล”  เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”  แล้ววิ่งไปหาเอลี  เพราะคิดว่าท่านเรียกให้ไปรับใช้  แต่ท่านเอลีบอกว่าไม่ได้เรียกให้กลับไปนอน  แล้วซามูเอลก็ได้ยินเสียงเรียกอีก  เป็นเช่นนี้ถึงสามครั้ง  เอลีจึงเข้าใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น  จึงสอนซามูเอลให้ตอบว่า “ข้าแต่พระองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่” จะเห็นได้ชัดเจนในที่นี้ว่าท่านเอลีสอนซามูเอลให้ปฏิบัติตนอย่างไรต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

 

 ในพระวรสารของนักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสาร ประจำวันอาทิตย์นี้  จะชี้ให้เราเห็นชัดแจ้งถึงบทบาทที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งนี้  คือบทบาทของการนำผู้อื่นให้รู้จักพระเยซูเจ้า  เริ่มจากท่านยอห์น บัปติสต์ ได้ชี้ให้ศิษย์ทั้งสองของท่านดู  เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป  ท่านกล่าวว่า  “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า”  ศิษย์สองคนจึงติดตามพระเยซูเจ้าไป

 เราอาจจะไม่แปลกใจอะไรกับบทบาทนี้ของท่านยอห์น บัปติสต์ เพราะท่านก็ทำหน้าที่ชี้ออกจากตัวเองไปสู่พระเยซูเจ้าเสมออยู่แล้ว  แต่เราลองมาพิจารณาดูบทบาทของศิษย์หนึ่งในสองคนที่ติดตามพระเยซูเจ้าไปในวันนั้น ได้เห็นที่ประทับของพระองค์และได้พำนักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น  ศิษย์คนนี้คือ อันดรูว์ท่านเป็นน้องชายของซีโมน  เมื่อท่านพบพี่ชายเป็นคนแรก ท่านกล่าวว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” เขาพาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและพระองค์ทรงรับซีโมนเป็นศิษย์  ทรงเปลี่ยนชื่อว่า “เคฟาส” ซึ่งแปลว่า “เปโตร หรือ ศิลา”

2nd Sunday 2

ในพระวรสารของนักบุญยอห์น ได้เล่าเรื่องของอันดรูว์สามครั้ง และทุกครั้งจะเห็นว่า อันดรูว์ได้พาคนให้มารู้จักพระเยซูเจ้าเสมอ  ครั้งแรกพาซีโมนพี่ชายมาหาพระเยซูเจ้า  ครั้งที่สองนำเด็กที่มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมาหาพระเยซูเจ้า (ยน.6:8) และพระเยซูเจ้าได้ทรงทวีขนมปังกับปลาเลี้ยงคนเป็นจำนวนมาก  และครั้งที่สามอันดรูว์กับฟิลิปได้พาชาวกรีกมาหาพระเยซูเจ้า เพราะว่าพวกเขาอยากพบพระเยซูเจ้า (ยน.12:20-22)

 

ถ้าอันดูรว์ไม่ได้แบ่งปันความเชื่อของเขาที่มีต่อพระเยซูเจ้าให้กับซีโมนพี่ชาย  ซีโมนอาจจะไม่ได้กลับกลายเป็น "ศิลา"  ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสร้างพระศาสนจักรของพระองค์ขึ้นมา  ถ้าอันดูรว์ไม่ได้แบ่งปันความเชื่อในพระเยซูเจ้าของเขาให้กับเด็กชายที่มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว  ประชาชนจำนวนมากที่อยู่บนเนินเขาอาจจะต้องกลับบ้านไปด้วยความหิวโหย  และพระวรสารก็คงไม่ได้บันทึกเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวงนี้ไว้ในหนังสือพระคัมภีร์เป็นแน่  ดังนั้นเราต้องไม่รีรอ หรือลังเลใจที่จะแบ่งปันความเชื่อที่เรามีในองค์พระเยซูเจ้าให้กับคนที่อยู่รอบข้าง  อย่าคิดไปเองว่า  คนอื่นๆอาจเมินเฉย  หรือไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อเช่นนี้  ตัวอย่างเช่น  ครูคนหนึ่งสอนนักเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองชิคาโก  เขาได้ขอให้นักเรียนแต่ละคนในชั้นไปทำการสัมภาษณ์คนอื่นๆข้างนอกสามคนในเรื่องเกี่ยวกับการภาวนา  โดยตั้งคำถามไว้ห้าคำถาม  (1) คุณภาวนาหรือไม่  (2) คุณภาวนาทุกวันหรือเป็นบางครั้งบางคราว  (3) ทำไมคุณจึงภาวนา  (4) เมื่อคุณภาวนา  คุณภาวนาอย่างไร  (5) ใครสอนคุณให้รู้จักภาวนา

 

เมื่อเด็กไปทำการสัมภาษณ์มาเรียบร้อยแล้ว  มีข้อน่าแปลกใจมากสามข้อด้วยกัน  ข้อหนึ่ง  บรรดานักเรียนที่ไปสัมภาษณ์แปลกใจมากที่คนถูกสัมภาษณ์ทั้งหลายต่างก็เต็มใจตอบเรื่องการภาวนา  ข้อสอง  พวกนักเรียนที่เป็นคนไปสัมภาษณ์เองรู้สึกแปลกใจที่ได้รับรู้ว่ามีคนมากมายที่ภาวนาทุกวัน  ข้อสาม  พวกนักเรียนรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนสนิทของพวกเขาเองต่างก็เอาใจใส่ในการภาวนา  นักเรียนคนหนึ่งกล่าวว่า  "ในตอนแรก  ผมคิดว่าเพื่อนของผมจะรู้สึกขบขันในเรื่องของการสัมภาษณ์  แต่พวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น  พวกเขาให้ความสำคัญกับมัน  เพื่อนอีกคนของผมพูดว่า  เขาดีใจที่ได้พูดเรื่องที่มีสาระจริงๆเช่นนี้"  นักเรียนหญิงอีกคนสรุปว่า  "สิ่งที่ฉันได้รับจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้คือ  ผู้คนเอาใจใส่จริงๆ ในเรื่องของการภาวนา"

 

ขอนำข้อคิดจากเรื่องนี้มาประยุกต์ใช้กับการที่เราได้รู้จักกับพระเยซูเจ้า  - เป็นประโยชน์ล้ำค่าที่ได้รู้จักกับพระองค์ และได้มีความเชื่อในพระองค์  แต่การที่เราได้รับความเชื่อมา  หรือการที่เราได้มารู้จักพระเยซูเจ้า ก็เพราะมีผู้นำพาเราให้มาพบกับพระองค์ อาจจะตั้งแต่เล็ก ๆ ที่พ่อแม่ของเราพาเรามารับศีลล้างบาป หรือถ้าใครที่รับศีลล้างบาปตอนโต ก็จะเป็นผู้ใดผู้หนึ่งที่นำพาเราให้มารู้จักพระเยซูเจ้า เราเองก็ต้องมีหน้าที่พาผู้อื่นมาหาพระเยซูเจ้าด้วย เช่น พ่อแม่พาลูกๆ มาวัดวันอาทิตย์สม่ำเสมอ อย่าทำเป็นเฉยๆ  เฉื่อยๆ  ชาๆ  จนกระทั่งวันอาทิตย์ลูกเล็กๆ  ต้องออกปากขอพ่อแม่ให้ช่วยพาไปวัดหน่อย เราควรเลียนแบบอย่างของนักบุญอันดรูว์ นักบุญยอห์น บัปติสต์ และท่านเอลี ในการนำพาผู้คนให้มาพบกับพระเจ้า เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้จริง และไม่เกินความสามารถ

 

( คุณพ่อ วิชา  หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2009 

ปรับปรุงเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021

Based on : Illustrated Sunday Homilies - Year B ; by Mark Link, SJ)

2nd Sunday 32nd Sunday 42nd Sunday 52nd Sunday 6