ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา ปี B
บทอ่านแรกจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล เป็นเรื่องของประกาศกซามูเอล ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มน้อย คอยปรนนิบัติรับใช้ประกาศกเอลี ซึ่งขณะนั้นมีอายุมากแล้ว และดวงตาทั้งสองข้างของท่านก็ดับสนิทมองไม่เห็นแล้ว หนุ่มน้อยซามูเอล นอนอยู่ในสักการสถานที่มีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก “ซามูเอล” เขาทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” แล้ววิ่งไปหาเอลี เพราะคิดว่าท่านเรียกให้ไปรับใช้ แต่ท่านเอลีบอกว่าไม่ได้เรียกให้กลับไปนอน แล้วซามูเอลก็ได้ยินเสียงเรียกอีก เป็นเช่นนี้ถึงสามครั้ง เอลีจึงเข้าใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น จึงสอนซามูเอลให้ตอบว่า “ข้าแต่พระองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่” จะเห็นได้ชัดเจนในที่นี้ว่าท่านเอลีสอนซามูเอลให้ปฏิบัติตนอย่างไรต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
ในพระวรสารของนักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสาร ประจำวันอาทิตย์นี้ จะชี้ให้เราเห็นชัดแจ้งถึงบทบาทที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งนี้ คือบทบาทของการนำผู้อื่นให้รู้จักพระเยซูเจ้า เริ่มจากท่านยอห์น บัปติสต์ ได้ชี้ให้ศิษย์ทั้งสองของท่านดู เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป ท่านกล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” ศิษย์สองคนจึงติดตามพระเยซูเจ้าไป
เราอาจจะไม่แปลกใจอะไรกับบทบาทนี้ของท่านยอห์น บัปติสต์ เพราะท่านก็ทำหน้าที่ชี้ออกจากตัวเองไปสู่พระเยซูเจ้าเสมออยู่แล้ว แต่เราลองมาพิจารณาดูบทบาทของศิษย์หนึ่งในสองคนที่ติดตามพระเยซูเจ้าไปในวันนั้น ได้เห็นที่ประทับของพระองค์และได้พำนักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ศิษย์คนนี้คือ อันดรูว์ท่านเป็นน้องชายของซีโมน เมื่อท่านพบพี่ชายเป็นคนแรก ท่านกล่าวว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” เขาพาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้าและพระองค์ทรงรับซีโมนเป็นศิษย์ ทรงเปลี่ยนชื่อว่า “เคฟาส” ซึ่งแปลว่า “เปโตร หรือ ศิลา”
ในพระวรสารของนักบุญยอห์น ได้เล่าเรื่องของอันดรูว์สามครั้ง และทุกครั้งจะเห็นว่า อันดรูว์ได้พาคนให้มารู้จักพระเยซูเจ้าเสมอ ครั้งแรกพาซีโมนพี่ชายมาหาพระเยซูเจ้า ครั้งที่สองนำเด็กที่มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมาหาพระเยซูเจ้า (ยน.6:8) และพระเยซูเจ้าได้ทรงทวีขนมปังกับปลาเลี้ยงคนเป็นจำนวนมาก และครั้งที่สามอันดรูว์กับฟิลิปได้พาชาวกรีกมาหาพระเยซูเจ้า เพราะว่าพวกเขาอยากพบพระเยซูเจ้า (ยน.12:20-22)
ถ้าอันดูรว์ไม่ได้แบ่งปันความเชื่อของเขาที่มีต่อพระเยซูเจ้าให้กับซีโมนพี่ชาย ซีโมนอาจจะไม่ได้กลับกลายเป็น "ศิลา" ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสร้างพระศาสนจักรของพระองค์ขึ้นมา ถ้าอันดูรว์ไม่ได้แบ่งปันความเชื่อในพระเยซูเจ้าของเขาให้กับเด็กชายที่มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว ประชาชนจำนวนมากที่อยู่บนเนินเขาอาจจะต้องกลับบ้านไปด้วยความหิวโหย และพระวรสารก็คงไม่ได้บันทึกเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวงนี้ไว้ในหนังสือพระคัมภีร์เป็นแน่ ดังนั้นเราต้องไม่รีรอ หรือลังเลใจที่จะแบ่งปันความเชื่อที่เรามีในองค์พระเยซูเจ้าให้กับคนที่อยู่รอบข้าง อย่าคิดไปเองว่า คนอื่นๆอาจเมินเฉย หรือไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อเช่นนี้ ตัวอย่างเช่น ครูคนหนึ่งสอนนักเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองชิคาโก เขาได้ขอให้นักเรียนแต่ละคนในชั้นไปทำการสัมภาษณ์คนอื่นๆข้างนอกสามคนในเรื่องเกี่ยวกับการภาวนา โดยตั้งคำถามไว้ห้าคำถาม (1) คุณภาวนาหรือไม่ (2) คุณภาวนาทุกวันหรือเป็นบางครั้งบางคราว (3) ทำไมคุณจึงภาวนา (4) เมื่อคุณภาวนา คุณภาวนาอย่างไร (5) ใครสอนคุณให้รู้จักภาวนา
เมื่อเด็กไปทำการสัมภาษณ์มาเรียบร้อยแล้ว มีข้อน่าแปลกใจมากสามข้อด้วยกัน ข้อหนึ่ง บรรดานักเรียนที่ไปสัมภาษณ์แปลกใจมากที่คนถูกสัมภาษณ์ทั้งหลายต่างก็เต็มใจตอบเรื่องการภาวนา ข้อสอง พวกนักเรียนที่เป็นคนไปสัมภาษณ์เองรู้สึกแปลกใจที่ได้รับรู้ว่ามีคนมากมายที่ภาวนาทุกวัน ข้อสาม พวกนักเรียนรู้สึกแปลกใจที่เพื่อนสนิทของพวกเขาเองต่างก็เอาใจใส่ในการภาวนา นักเรียนคนหนึ่งกล่าวว่า "ในตอนแรก ผมคิดว่าเพื่อนของผมจะรู้สึกขบขันในเรื่องของการสัมภาษณ์ แต่พวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับมัน เพื่อนอีกคนของผมพูดว่า เขาดีใจที่ได้พูดเรื่องที่มีสาระจริงๆเช่นนี้" นักเรียนหญิงอีกคนสรุปว่า "สิ่งที่ฉันได้รับจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้คือ ผู้คนเอาใจใส่จริงๆ ในเรื่องของการภาวนา"
ขอนำข้อคิดจากเรื่องนี้มาประยุกต์ใช้กับการที่เราได้รู้จักกับพระเยซูเจ้า - เป็นประโยชน์ล้ำค่าที่ได้รู้จักกับพระองค์ และได้มีความเชื่อในพระองค์ แต่การที่เราได้รับความเชื่อมา หรือการที่เราได้มารู้จักพระเยซูเจ้า ก็เพราะมีผู้นำพาเราให้มาพบกับพระองค์ อาจจะตั้งแต่เล็ก ๆ ที่พ่อแม่ของเราพาเรามารับศีลล้างบาป หรือถ้าใครที่รับศีลล้างบาปตอนโต ก็จะเป็นผู้ใดผู้หนึ่งที่นำพาเราให้มารู้จักพระเยซูเจ้า เราเองก็ต้องมีหน้าที่พาผู้อื่นมาหาพระเยซูเจ้าด้วย เช่น พ่อแม่พาลูกๆ มาวัดวันอาทิตย์สม่ำเสมอ อย่าทำเป็นเฉยๆ เฉื่อยๆ ชาๆ จนกระทั่งวันอาทิตย์ลูกเล็กๆ ต้องออกปากขอพ่อแม่ให้ช่วยพาไปวัดหน่อย เราควรเลียนแบบอย่างของนักบุญอันดรูว์ นักบุญยอห์น บัปติสต์ และท่านเอลี ในการนำพาผู้คนให้มาพบกับพระเจ้า เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้จริง และไม่เกินความสามารถ
( คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2009
ปรับปรุงเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021
Based on : Illustrated Sunday Homilies - Year B ; by Mark Link, SJ)