วันศุกร์สัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 1:1-5,9-14)
เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว พระวจนาตถ์ประทับอยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า พระองค์ประทับอยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้าง โดยทางพระวจนาตถ์ ชีวิตอยู่ในพระองค์ และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์ แสงสว่างส่องในความมืด และความมืดชนะแสงสว่างนั้นไม่ได้
แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน กำลังจะมาสู่โลก พระวจนาตถ์ประทับอยู่ในโลก และโลกถูกสร้างโดยอาศัยพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์ พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์ คือผู้ที่เชื่อในพระนามพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า เขามิได้เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ และเสด็จมาประทับอยู่ในหมู่เรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดา ในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง
ยน 1:1 เมื่อแรกเริ่มนั้น : พระวรสารเริ่มต้นโดยการเปิดเผยพระเทวภาพของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นพระวาจานิรันดรของพระเจ้า พระวจนาตถ์: ตั้งแต่นิรันดร์กาล พระเจ้าพระบิดาทรงให้กำเนิดพระวจนาตถ์ ผู้ซึ่งเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า คือองค์พระบุตร และโดยทางพระวจนาตถ์นี้เองที่พระองค์ทรงสร้างจักรวาล พระวจนาตถ์อยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์คือพระเจ้า : ข้อความนี้เปิดเผยถึงข้อคำสอนเรื่องพระตรีเอกภาพ กล่าวคือ พระวจนาตถ์ ซึ่งเป็นพระเจ้าพระบุตร ทรงมีพระธรรมชาติเดียวกับพระเจ้าพระบิดา แต่แตกต่างจากพระเจ้าพระบิดาตรงที่ทรงเป็นพระบุตรของพระองค์
CCC ข้อ 102 อาศัยถ้อยคำทั้งหมดในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสเพียงพระวาจาเดียวเท่านั้น ได้แก่ “พระวจนาตถ์” เพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ ในพระวจนาตถ์นี้เองพระองค์ทรงสำแดงพระองค์ทั้งหมด “พี่น้องทั้งหลายจำได้ว่าพระวาจา (หรือ “พระวจนาตถ์”) หนึ่งเดียวของพระเจ้านี้แผ่ขยายอยู่ทั่วพระคัมภีร์ และดังก้องแผ่ขยายไปอาศัยปากของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ การที่พระวจนาตถ์ (หรือ “พระวาจา”) นี้ทรงเป็นพระเจ้าและประทับอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม พระวาจานี้จึงไม่มีหลายพยางค์ เพราะไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา”
CCC ข้อ 240 พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยว่าพระเจ้าทรงเป็น “พระบิดา” ในความหมายที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน – พระเจ้าไม่ทรงเป็นพระบิดาเพียงในฐานะพระผู้เนรมิตสร้าง และทรงเป็นพระบิดาตั้งแต่นิรันดรโดยความสัมพันธ์ต่อพระบุตรเพียงพระองค์เดียว ซึ่งทรงเป็นพระบุตรตั้งแต่นิรันดรก็โดยความสัมพันธ์ที่ทรงมีต่อพระบิดาด้วยเช่นเดียวกัน “ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดาและไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้” (มธ 11:27)
CCC ข้อ 241 เพราะเหตุนี้ บรรดาอัครสาวกจึงประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น “พระวจนาตถ์” ซึ่ง “ตั้งแต่แรกเริ่มประทับอยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า” (ยน 1:1) เป็นพระองค์ “ผู้ทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่เรามองไม่เห็น” (คส 1:15) และทรงเป็น “รังสีแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (ฮบ 1:3)
CCC ข้อ 242 ในสมัยต่อมา พระศาสนจักรดำเนินตามธรรมประเพณีของบรรดาอัครสาวกก็ได้ประกาศในสภาสังคายนาครั้งแรกที่เมืองนีเชอาเมื่อปี ค.ศ. 325 ว่าพระบุตร “ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกันกับพระบิดา” นั่นคือทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา สภาสังคายนาสากลครั้งที่ 2 ซึ่งประชุมกันที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลเมื่อปี ค.ศ. 381 ยังคงรักษาสูตรยืนยันความเชื่อของสภาสังคายนาแห่ง นีเชอานี้ไว้และประกาศ “พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา ทรงเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง ทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ทรงถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา”
CCC ข้อ 454 พระนาม “พระบุตรของพระเจ้า” หมายถึงความสัมพันธ์เฉพาะตั้งแต่นิรันดรของพระเยซูคริสตเจ้ากับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระบิดา และพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ผู้ใดจะเป็นคริสตชนได้จำเป็นต้องเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ยน 1:3 พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งโดยทางพระวจนาตถ์ คือพระคริสตเจ้า และทรงทำให้พระองค์เป็นที่รู้จักโดยอาศัยสิ่งสร้างของพระองค์ แม้ว่าสิ่งสร้างจะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดที่สุดกับพระเจ้าพระบิดา แต่พระตรีเอกภาพทั้งครบก็มีส่วนร่วมในงานนี้เช่นกัน อำนาจในการสร้างนั้นเป็นหน้าที่แห่งพระพลานุภาพ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
CCC ข้อ 54 “พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างและทรงค้ำชูสรรพสิ่งไว้ด้วยพระวจนาตถ์ โปรดให้สิ่งที่ทรงเนรมิตสร้างมานั้นเป็นพยานถึงพระองค์อยู่เสมอ นอกจากนั้นยังทรงมีพระประสงค์ที่จะเบิกทางไปสู่ความรอดพ้นเหนือธรรมชาติ จึงทรงแสดงพระองค์ให้แก่บิดามารดาเดิมของเราตั้งแต่แรก” พระองค์ทรงเชิญเขาทั้งสองให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ โดยประทาน พระหรรษทานและความชอบธรรมรุ่งเรืองให้เขา
CCC ข้อ 290 “เมื่อแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐก 1:1) คำเริ่มแรกของพระคัมภีร์นี้ยืนยันความจริงสามประการ คือ พระเจ้านิรันดรทรงทำให้ทุกสิ่งที่อยู่นอกพระองค์เริ่มมีขึ้น พระองค์เพียงผู้เดียวทรงเป็น “พระผู้เนรมิตสร้าง” (กริยา “เนรมิตสร้าง” หรือ “bara’” ในภาษาฮีบรู มี “พระเจ้า” เป็น “ประธาน” เสมอ) เอกภพของทุกสิ่งที่เป็นอยู่ (วลี “ฟ้าและแผ่นดิน”) ล้วนขึ้นกับพระองค์ผู้ประทานความเป็นอยู่ให้
CCC ข้อ 291 “เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว [….] พระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า [….] พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้างโดยทางพระวจนาตถ์” (ยน 1:1-3) พันธสัญญาใหม่เปิดเผยว่าพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์นิรันดร พระบุตรสุดที่รักของพระองค์ “สรรพสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน [….] ทุกสิ่งถูกเนรมิตขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งดำรงอยู่เป็นระเบียบในพระองค์” (คส 1:16-17) ความเชื่อของพระศาสนจักรยังยืนยันเช่นเดียวกันถึงพระราชกิจเนรมิตสร้างของพระจิตเจ้า พระผู้ซึ่งเราประกาศว่าเป็น “ผู้ทรงบันดาลชีวิต” ทรงเป็น “พระจิตผู้ทรงเนรมิตสร้าง” (ในบท “Veni, Creator Spiritus”) ทรงเป็น “บ่อเกิดแห่งความดี”
CCC ข้อ 292 พระราชกิจการเนรมิตสร้างของพระบุตรและพระจิตเจ้า ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวอย่างแยกกันไม่ได้กับการเนรมิตสร้างของพระบิดา ก็ได้รับการกล่าวถึงเป็นนัยแล้วในพันธสัญญาเดิม ได้รับการเปิดเผยในพันธสัญญาใหม่ ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนในข้อความเชื่อของพระศาสนจักร “ที่นี่มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว [….] ที่นี่มีพระบิดา ที่นี่มีพระเจ้า ที่นี่มีพระผู้สถาปนา ที่นี่มีพระผู้ทำ ที่นี่มีพระผู้ก่อสร้าง ผู้ที่ทรงกระทำทุกสิ่งเหล่านี้ ด้วยพระองค์เอง นั่นคืออาศัยพระวจนาตถ์และพระปรีชาของพระองค์” “พระบุตรและพระจิต” ทรงเป็นเสมือน “พระหัตถ์” ของพระองค์ การเนรมิตสร้างเป็นผลงานของพระตรีเอกภาพ
ยน 1:4 ชีวิตอยู่ในพระองค์ : พระเจ้าคือผู้ประทานชีวิต จึงไม่มีสิ่งใดอยู่เองได้โดยปราศจากพระองค์ ในที่นี้ ยอห์นกล่าวถึงชีวิตของพระเจ้า ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นที่มาของชีวิตทั้งตามธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ
CCC ข้อ 668 “พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพ เพื่อจะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของผู้ตายและของผู้เป็น” (รม 14:9) การที่พระคริสตเจ้าเสด็จสู่สวรรค์หมายความว่าสภาพมนุษย์ของพระองค์มีส่วนในอำนาจและพระอานุภาพของพระเจ้าเอง พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนาจทุกอย่างทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน พระองค์ทรงอยู่ “เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำนาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนาย” เพราะพระบิดา “ทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า” (อฟ 1:20-22) พระคริสตเจ้าทรงเป็นเจ้านายของสากลโลกและประวัติศาสตร์ ในพระองค์ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และสิ่งสร้างทั้งมวลด้วย “ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่พร้อมกันอีก”และได้รับศักดิ์ศรียิ่งใหญ่กว่าเดิม
CCC ข้อ 1015 “ร่างกายเป็นเดือยแห่งความรอดพ้น” เราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเนรมิตสร้างร่างกาย เราเชื่อในพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับสภาพมนุษย์เพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดพ้น เราเชื่อในการกลับคืนชีพของร่างกาย ซึ่งเป็นจุดยอดของการเนรมิตสร้างและการไถ่กู้
ยน 1:4-9 แสงสว่าง : พระคริสตเจ้าทรงเป็น “แสงสว่าง” แสงสว่างของโลก และ “แสงสว่างเที่ยงแท้” ผู้ซึ่งแทงทะลุความมืดของบาปและส่องทางสู่ความรอดพ้น ในศีลล้างบาป คริสตชนกลายเป็น “ผู้รับรู้” และรับ “แสงสว่างของพระคริสตเจ้า” การส่องสว่างนี้ช่วยให้คริสตชนสามารถมองเห็นด้วยสายตาแห่งความเชื่อ และกลายเป็น “แสงสว่างของโลก” โดยทำหน้าที่เป็นดวงประทีปแห่งความรักของพระเจ้า
CCC ข้อ 457 พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ก็เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นโดยทำให้เราคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้า “ทรงรักเราและทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา” (1 ยน 4:10) “พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่โลก” (1 ยน 4:14) “พระองค์ทรงปรากฏเพื่อทรงลบล้างบาปให้สิ้นไป” (1 ยน 3:5) “ธรรมชาติของเรา เมื่อเจ็บป่วยย่อมต้องการแพทย์ มนุษย์ที่ล้มลงย่อมต้องการผู้ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ผู้ที่สิ้นชีวิตแล้วย่อมต้องการผู้ให้ชีวิต ผู้ที่สูญเสียความดีย่อมต้องการผู้นำกลับมาพบความดีอีก ผู้ที่ถูกกักขังในความมืดย่อมต้องการให้มีแสงสว่าง ผู้ถูกจับเป็นเชลยย่อมแสวงหาผู้ช่วยไถ่ให้รอดพ้น ผู้ถูกจองจำย่อมต้องการผู้ช่วยเหลือ ผู้ที่เป็นทาสย่อมต้องการผู้ช่วยให้มีอิสรภาพ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่พอจะชักชวนพระเจ้าให้เสด็จลงมาเยี่ยมเยียนมนุษยชาติในเมื่อมนุษยชาติตกอยู่ในสภาพเป็นทุกข์และน่าสงสารถึงเพียงนี้ดอกหรือ”
CCC ข้อ 1216 “การล้างนี้ยังมีชื่อเรียกอีกว่า ‘การส่องสว่าง’ เพราะผู้ที่เรียนคำสอนได้รับการส่องสว่างในจิตใจ” ผู้รับศีลล้างบาป เมื่อได้รับในศีลล้างบาปพระวจนาตถ์ (หรือ “พระวาจา”) ซึ่งเป็น “แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน” (ยน 1:9) เมื่อ “ได้รับความสว่าง” แล้ว เขาก็กลับเป็น “บุตรแห่งความสว่าง” และเขาเองก็เป็น “แสงสว่าง” (อฟ 5:8) ด้วย
ศีลล้างบาปเป็น “ของประทานยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดของพระเจ้า […] เราเรียกศีลนี้ว่าเป็น ของประทาน พระหรรษทาน ศีลล้างบาป การเจิม การส่องสว่าง อาภรณ์ของความไม่รู้จักเสื่อมสลาย การล้างที่บันดาลให้เกิดใหม่ ตราประทับ และในที่สุดเรียกด้วยนามที่ยอดเยี่ยมที่สุดกว่านามใดๆ คือ ศีลนี้ได้ชื่อว่า ของประทาน เพราะพระเจ้าประทานให้แก่ผู้ที่ไม่เคยนำอะไรมาถวายเลย ได้ชื่อว่า พระหรรษทาน เพราะพระเจ้าประทานให้แม้แก่คนบาป ได้ชื่อว่า ศีลล้างบาป เพราะบาปถูกฝังไว้ในน้ำ ได้ชื่อว่า การเจิม เพราะทำให้ผู้รับศักดิ์สิทธิ์และเป็นกษัตริย์(เหมือนผู้ที่ได้รับการเจิมในอดีต) ได้ชื่อว่า การส่องสว่าง เพราะส่องแสงสว่างเจิดจ้า ได้ชื่อว่า อาภรณ์ เพราะปิดบังความน่าอายของเราไว้ ได้ชื่อว่า การล้าง เพราะชำระล้าง ได้ชื่อว่า ตราประทับ เพราะเป็นการป้องกันและเครื่องหมายของการเป็นเจ้าของ”
ยน 1:10 โลก : คำนี้มีความหมายแตกต่างกันไปในงานเขียน ของนักบุญยอห์น ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับบริบท อาจหมายถึงจักรวาลที่ทรงสร้างขึ้นทั้งหมด หรือหมายถึงมนุษยชาติที่ต้องการความรอดพ้น หรือสิ่งล่อลวงให้ตกในบาป อาศัยการสิ้นพระชนม์ และกลับคืนชีพของพระองค์ พระคริสตเจ้าได้ทรงไถ่โลกที่กำลังจะล่วงเลยไป และทรงฟื้นฟูขึ้นใหม่เมื่อถึงวาระสุดท้าย
CCC ข้อ 295 เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างโลกตามพระปรีชาของพระองค์ โลกนี้มิได้เป็นผลของความจำเป็น ของโชคชะตามืดบอดหรือความบังเอิญใดๆ เราเชื่อว่าโลกนี้เนื่องมาจากพระประสงค์อิสระของพระเจ้าผู้ทรงประสงค์ให้สิ่งสร้างทั้งหลายมีส่วนร่วมในความเป็นอยู่ พระปรีชาและความดีของพระองค์ “พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และทุกสิ่งถูกสร้างและดำรงอยู่ตามพระประสงค์ของพระองค์” (วว 4:11) “พระราชกิจของพระองค์ช่างมีมากเหลือล้น พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างด้วยพระปรีชาญาณ” (สดด 104:24) “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดีแก่ทุกคน ความอ่อนโยนของพระองค์ครอบคลุมสิ่งสร้างทั้งมวล” (สดด 145:9)
CCC ข้อ 315 เมื่อทรงเนรมิตสร้างโลกและมนุษย์ พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นหลักฐานแรกและสากลแห่งความรัก พระสรรพานุภาพ และพระปรีชาญาณของพระองค์ เป็นการบอกกล่าวครั้งแรกให้รู้ถึง “แผนการพระทัยดีของพระองค์” ซึ่งบรรลุถึงจุดหมายของตนในการเนรมิตสร้างใหม่ในพระคริสตเจ้า
CCC ข้อ 670 นับตั้งแต่การเสด็จสู่สวรรค์แล้ว แผนการของพระเจ้ากำลังบรรลุถึงการสำเร็จเป็นจริง ขณะนี้เรากำลังอยู่ใน “วาระสุดท้าย” (1 ยน 2:18) “วาระสุดท้ายของโลกมาถึงเราแล้ว และการรื้อฟื้นโลกก็ถูกกำหนดไว้โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก และกำลังดำเนินการอยู่บ้างแล้วในโลกนี้ เพราะพระศาสนจักรก็มีความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้วในโลก แม้จะยังไม่สมบูรณ์” พระอาณาจักรของพระคริสตเจ้าแสดงตนแล้วโดยทางเครื่องหมายอัศจรรย์ ซึ่งติดตามการประกาศพระอาณาจักรนี้ทางพระศาสนจักร
CCC ข้อ 1048 “เราไม่รู้เวลาที่โลกและมนุษยชาติจะต้องจบสิ้น และไม่รู้วิธีการที่จักรภพจะต้องเปลี่ยนแปลง รูปร่างของโลกนี้ที่บิดเบี้ยวไปเพราะบาปกำลังผ่านพ้นไป แต่เราก็รับคำสั่งสอนมาว่าพระเจ้ากำลังทรงเตรียมที่พำนักใหม่และแผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นที่พำนักของความยุติธรรม และความสุขของที่พำนักใหม่และแผ่นดินใหม่นี้จะทำให้ความปรารถนาสันติภาพทั้งหลายที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์นั้นเต็มเปี่ยมจนล้นเสียด้วย”
ยน 1:11 ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ : ในขณะที่พระคริสตเจ้าต้องประสบกับการถูกปฏิเสธจากบรรดาชาวกาลิลี ข้อความนี้ยังกินความกว้างไปกว่านั้น ซึ่งรวมถึงทุกคนที่ปฏิเสธพระคริสตเจ้าทั้งชาวยิวและคนต่างชาติด้วย การเมินเฉยและสัมพัทธนิยมเชิงศีลธรรม คือรูปแบบใหม่ของการปฏิเสธหรือการไม่สนใจในพระคริสตเจ้าและคำสอนของพระองค์
CCC ข้อ 530 การเสด็จหนีไปอียิปต์และการประหารเด็กทารกผู้บริสุทธิ์ แสดงให้เห็นการต่อต้านของความมืดต่อแสงสว่าง “พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์” (ยน 1:11) ตลอดพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าจะถูกหมายด้วยการถูกเบียดเบียน ผู้ที่เป็น(ศิษย์)ของพระองค์ย่อมมีส่วนในการถูกเบียดเบียนพร้อมกับพระองค์ด้วย การเสด็จกลับจากอียิปต์ ชวนให้เราคิดถึงการ(ที่ชาวอิสราเอล)อพยพออกจากอียิปต์ และแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้กอบกู้โดยสมบูรณ์ด้วย
ยน 1:12-18 บุตรของพระเจ้า : พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าพระบิดาในพระเทวภาพของพระองค์ การไถ่กู้ที่พระองค์ทรงกระทำอาศัยการพลีบูชาบนไม้กางเขนนั้น ทำให้เราสามารถมีส่วนร่วมในการเป็นบุตรของพระเจ้า ดังนั้นในฐานะบุตรของพระเจ้า เราจึงสามารถเรียกพระเจ้าว่า "พระบิดาของเรา" โดยทางศีลล้างบาป เราเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสตเจ้า และกลายเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า
CCC ข้อ 460 พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์เพื่อทำให้เรา “เข้ามามีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า” (2 ปต 1:4) “เพราะเหตุนี้พระวจนาตถ์ของพระเจ้าจึงมาเป็นมนุษย์ และผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าทรงกลับเป็นบุตรแห่งมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ซึ่งร่วมสนิทกับพระวจนาตถ์ของพระเจ้าและได้รับการเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า ได้กลับเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย” “พระบุตรของพระเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์ เพื่อพวกเราจะได้กลับเป็นพระเจ้า” “พระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ทรงประสงค์ให้เรามีส่วนในพระเทวภาพของพระองค์ ทรงรับธรรมชาติของเรามาเป็นมนุษย์ เพื่อทรงทำให้มนุษย์เป็นพระเจ้า”
CCC ข้อ 526 “การกลับเป็นเด็ก” ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นเงื่อนไขเพื่อจะเข้าพระอาณาจักรได้ เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ จึงจำเป็นต้องถ่อมตน กลายเป็นคนไม่มีความสำคัญ ยิ่งกว่านั้นยังจำเป็นต้อง “เกิดใหม่” (ยน 3:7) คือเกิดจากพระเจ้า เพื่อใครคนหนึ่งจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้
พระธรรมล้ำลึกการสมภพของพระคริสตเจ้าจะสำเร็จสมบูรณ์ก็เมื่อพระคริสตเจ้า “จะปรากฏอยู่ในเราอย่างชัดเจน” การสมภพของพระเยซูเจ้าจึงเป็นพระธรรมล้ำลึกแห่ง “การแลกเปลี่ยนน่าพิศวง” นี้
“การแลกเปลี่ยนเช่นนี้น่าพิศวงจริง พระผู้เนรมิตสร้างมนุษยชาติทรงรับร่างกายที่มีชีวิตมาบังเกิดจากพระนางพรหมจารี และเมื่อทรงถ่อมพระองค์สมภพเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ประทานพระเทวภาพของพระองค์ให้แก่เรา”
CCC ข้อ 706 ตรงข้ามกับความหวังที่มนุษย์อาจมีได้ พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานลูกหลานแก่อับราฮัมเป็นผลของความเชื่อและพระอานุภาพของพระจิตเจ้า ชนทุกชาติบนแผ่นดินนี้จะได้รับพรผ่านทางเชื้อสายของเขา “เชื้อสาย” นี้ก็คือพระคริสตเจ้า ในพระคริสตเจ้านี้พระพรของพระจิตเจ้าจะนำบรรดาบุตรที่กระจัดกระจายไปของพระเจ้าเข้ามารวมด้วยกันอีก เมื่อทรงสาบานผูกมัดพระองค์ พระเจ้าก็ทรงผูกมัดพระองค์จะประทานพระบุตรสุดที่รักของพระองค์แล้ว รวมทั้งทรงสัญญาจะประทานพระจิตเจ้าซึ่งจะทรงเตรียมการไถ่กู้ประชากรที่พระเจ้าทรงได้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
CCC ข้อ 1692 สูตรยืนยันความเชื่อประกาศว่าพระเจ้าได้ประทานพระพรยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ในงานเนรมิตสร้างและยิ่งกว่านั้นโดยงานไถ่กู้และบันดาลความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นำสิ่งที่ความเชื่อประกาศนี้มาให้เรา โดยทางศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้บรรดาคริสตชนเกิดใหม่นี้ เขาก็กลายเป็น“บุตรของพระเจ้า” (1 ยน 3:1) “มีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า” (2 ปต 1:4) เมื่อบรรดาคริสตชนมารับรู้ศักดิ์ศรีใหม่ของตนโดยความเชื่อแล้ว เขาก็ได้รับเชิญมาดำเนินชีวิตหลังจากนั้นให้สมกับพระวรสารของพระคริสตเจ้า โดยอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และการอธิษฐานภาวนา เขาย่อมรับพระหรรษทานของพระคริสตเจ้าและพระพรของพระจิตเจ้าซึ่งทำให้เขามีความสามารถทำเช่นนี้ได้
CCC ข้อ 1996 การรับความชอบธรรมของเรามาจากพระหรรษทานของพระเจ้า พระหรรษทานเป็นความโปรดปราน ความช่วยเหลือให้เปล่าที่พระเจ้าประทานแก่เรา เพื่อเราจะได้ตอบสนองการที่ทรงเรียกเราให้มาเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์ มีส่วนร่วมพระธรรมชาติพระเจ้า และชีวิตนิรันดร
CCC ข้อ 2780 เราเรียกพระเจ้าเป็น “พระบิดา” ได้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองโดยทางพระบุตรผู้ทรงมาเป็นมนุษย์และเพราะพระจิตของพระองค์ทรงบันดาลให้เรารู้จักพระองค์ สิ่งที่มนุษย์ไม่อาจรู้จักและบรรดาอำนาจทูตสวรรค์ไม่อาจมองเห็นแม้แต่เพียงรางๆ ได้ก็คือความสัมพันธ์ในฐานะบุคคลของพระบุตรกับพระบิดา แต่พระจิตของพระบุตรทรงบันดาลให้เรามีส่วนร่วมความสัมพันธ์นี้ เราซึ่งเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระคริสตเจ้าและเรายังบังเกิดจากพระเจ้าอีกด้วย
ยน 1:13 เขามิได้เกิดจากสายเลือด ... แต่เกิดจากพระเจ้า : ด้วยพระเทวภาพของพระองค์ พระคริสตเจ้าคือพระบุตรนิรันดรของพระเจ้าพระบิดา ในความเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางมารีย์ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า ในฐานะมารดาของพระเยซูคริสตเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระนางมารีย์คือพระมารดาของพระเจ้า เรา “เกิดจากพระเจ้า” โดยผ่านทางศีลล้างบาป ซึ่งทำให้เรามีส่วนร่วมในชีวิตของพระคริสตเจ้า อาศัยพระพรแห่งความเชื่อและพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร
CCC ข้อ 496 นับตั้งแต่สูตรแสดงความเชื่อแบบแรกๆ แล้ว พระศาสนจักรประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางพรหมจารีมารีย์เดชะพระอานุภาพของพระจิตเจ้า โดยยืนยันถึงลักษณะทางกายภาพของเหตุการณ์นี้ด้วยว่า พระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิ “เดชะพระจิตเจ้า […] โดยไม่มีเชื้อพันธุ์ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” ในการปฏิสนธิจากพรหมจารีนี้ บรรดาปิตาจารย์แลเห็นเครื่องหมายจากการที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมารับสภาพมนุษย์เหมือนกับสภาพมนุษย์ของเรา
นักบุญอิกญาซีโอแห่งอันทิโอค (ต้นศตวรรษที่ 2) กล่าวไว้ดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าท่านทั้งหลายมีความเชื่อมั่นเต็มที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราโดยธรรมชาติมนุษย์ทรงบังเกิดโดยแท้จริงในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าตามพระประสงค์และโดยพระอานุภาพของพระเจ้า ทรงบังเกิดจริง ๆ จากหญิงพรหมจารี...พระกายถูกตะปูตรึงบนไม้กางเขนเพื่อพวกเราสมัยปอนทิอัส ปีลาต....ทรงรับทรมานโดยแท้จริงเพื่อจะทรงกลับคืนพระชนมชีพโดยแท้จริงด้วย”
CCC ข้อ 505 พระเยซูเจ้า อาดัมคนใหม่ ทรงใช้การที่ทรงปฏิสนธิจากพระมารดาพรหมจารีเพื่อสถาปนาการบังเกิดใหม่ของบรรดาบุตรบุญธรรมในพระจิตเจ้าอาศัยความเชื่อ “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร” (ลก 1:34) การมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้าไม่ได้ “เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า” (ยน 1:13) ชีวิตนี้ได้รับมาประหนึ่งจากหญิงพรหมจารี เพราะพระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์จากพระจิตเจ้า ความหมายของการที่มนุษย์ได้รับเรียกมามีความสัมพันธ์คล้ายการหมั้นไว้กับพระเจ้าสำเร็จสมบูรณ์ไปในการที่พระนางมารีย์ทรงเป็นพระมารดาพรหมจารี
CCC ข้อ 526 “การกลับเป็นเด็ก” ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นเงื่อนไขเพื่อจะเข้าพระอาณาจักรได้ เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ จึงจำเป็นต้องถ่อมตน กลายเป็นคนไม่มีความสำคัญ ยิ่งกว่านั้นยังจำเป็นต้อง “เกิดใหม่” (ยน 3:7) คือเกิดจากพระเจ้า เพื่อใครคนหนึ่งจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้
พระธรรมล้ำลึกการสมภพของพระคริสตเจ้าจะสำเร็จสมบูรณ์ก็เมื่อพระคริสตเจ้า “จะปรากฏอยู่ในเราอย่างชัดเจน” การสมภพของพระเยซูเจ้าจึงเป็นพระธรรมล้ำลึกแห่ง “การแลกเปลี่ยนน่าพิศวง” นี้
“การแลกเปลี่ยนเช่นนี้น่าพิศวงจริง พระผู้เนรมิตสร้างมนุษยชาติทรงรับร่างกายที่มีชีวิตมาบังเกิดจากพระนางพรหมจารี และเมื่อทรงถ่อมพระองค์สมภพเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ประทานพระเทวภาพของพระองค์ให้แก่เรา”
ยน 1:14-16 พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ : พระคริสตเจ้าทรงรับเอาธรรมชาติมนุษย์เพื่อนำการไถ่กู้มาสู่มนุษย์ที่ได้ตกในบาป นี่คือธรรมล้ำลึกแห่งการรับเอากาย พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระบุตรผู้ทรงมารับสภาพมนุษย์ พระองค์คือพระเจ้าที่มีสองธรรมชาติและสองน้ำใจ คือทั้งของพระเจ้าและของมนุษย์ ประทับอยู่ในหมู่เรา : คำว่า eskenosen ในภาษากรีก แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กางกระโจมของเขา” ภาพนี้ทำให้นึกถึงพลับพลาที่ชาวอิสราเอลได้รับคำสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อรักษาหีบแห่งพันธสัญญา ซึ่งแสดงถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางประชากรของพระองค์ ในความหมายที่สมบูรณ์นั้นการรับเอากายของพระคริสตเจ้า ได้นำการประทับอยู่ของพระเจ้ามาท่ามกลางเรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ : ยอห์นและบรรดาอัครสาวกเป็นสักขีพยานถึงเครื่องหมายที่ยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าของพระคริสตเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นในธรรมชาติมนุษย์ที่รุ่งโรจน์และในผลงานมากมายของพระองค์ พระบุตรเพียงพระองค์เดียว : การอธิบายนี้มีอยู่ในบทข้าพเจ้าเชื่อแห่งเมืองนิเชอา : “ทรงเป็นพระเจ้า จากพระเจ้า ทรงเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง ทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา อาศัยพระบุตรนี้ ทุกสิ่งได้รับการเนรมิตขึ้นมา”
CCC ข้อ 423 เราเชื่อและประกาศว่าพระเยซูเจ้าจากเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งทรงถือกำเนิดเป็นชาวยิวจากธิดาแห่งอิสราเอลที่เมืองเบธเลเฮม ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรดมหาราชและพระจักรพรรดิซีซาร์ออกัสตัสที่ 1 มีอาชีพเป็นช่างไม้ ได้สิ้นพระชนม์โดยทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่ปอนติอัสปีลาตเป็นข้าหลวงปกครองในรัชสมัยพระจักรพรรดิทีเบริอัส ทรงเป็นพระบุตรนิรันดรของพระเจ้าผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ “พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” (ยน 13:3) “เสด็จลงมาจากสวรรค์” (ยน 3:13; 6:33) มารับสภาพมนุษย์ เพราะ “พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์และเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดาในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง [.....] และจากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน” (ยน 1:14,16)
CCC ข้อ 445 หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว การเป็นพระบุตรของพระเจ้าปรากฏให้เห็นในพลังของพระธรรมชาติมนุษย์ที่รุ่งโรจน์ของพระองค์ด้วย “ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบุตรผู้ทรงอำนาจของพระเจ้าโดยการกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย” (รม 1:4) บรรดาอัครสาวกจึงจะกล่าวได้ว่า “เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดาในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง” (ยน 1:14)
CCC ข้อ 461 พระศาสนจักรนำวลีของนักบุญยอห์น (“พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์” ยน 1:14) มาใช้เรียกการที่พระบุตรของพระเจ้ามารับสภาพมนุษย์ของเราใช้ทำให้ความรอดพ้นของเราสำเร็จไปว่า “การรับสภาพมนุษย์” (แปลตามตัวอักษรว่า “การรับเนื้อหนัง” หรือ “การรับร่างกาย”) พระศาสนจักรขับร้องเรื่องการรับสภาพมนุษย์โดยใช้บทเพลงที่นักบุญเปาโลยกมาไว้ในจดหมายของท่านดังนี้ว่า
“จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้นเป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในสภาพมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน” (ฟป 2:5-8)
CCC ข้อ 466 คำสอนผิดๆ ของเนสโตรีอุสอ้างว่าพระบุคคลมนุษย์ในพระคริสตเจ้าเข้ามารวมกับพระบุคคลพระเจ้าของพระบุตรของพระเจ้า นักบุญซีริลแห่งอเล็กซานเดรียและสภาสังคายนาสากล ครั้งที่ 3 ซึ่งมาประชุมกันที่เมืองเอเฟซัสเมื่อปี ค.ศ. 431 ประณามคำสอนดังกล่าวนี้และประกาศว่า “พระวจนาตถ์ทรงมาเป็นมนุษย์เมื่อทรงรวมร่างกายซึ่งมีวิญญาณที่คิดตามเหตุผลได้เข้ากับตนโดยธรรมชาติ (hypostasis)” พระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้าไม่มีความเป็นอยู่อื่นใดนอกจากเป็นพระบุคคลพระเจ้าของพระบุตรพระเจ้าซึ่งรับสภาพมนุษย์นี้เข้ามารวมเป็นของตนนับตั้งแต่ทรงปฏิสนธิ เพราะเหตุนี้สภาสังคายนาที่เมืองเอเฟซัสเมื่อปี 431 จึงประกาศว่าเมื่อพระนางมารีย์ทรงปฏิสนธิพระบุตรของพระเจ้าเป็นมนุษย์ในพระครรภ์ จึงทรงเป็น “พระมารดาของพระเจ้า” โดยแท้จริง “ทรงเป็นพระมารดาของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพระธรรมชาติของพระวจนาตถ์และพระเทวภาพของพระองค์ถือกำเนิดจากพระนางพรหมจารี แต่เพราะ[พระวจนาตถ์]ทรงรับพระวรกายศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับพระวิญญาณที่มีสติปัญญาจากพระนาง และกล่าวได้ว่าพระวจนาตถ์ของพระเจ้าซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวตามธรรมชาตินี้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์จากพระนาง”
CCC ข้อ 467 พวกมิจฉาทิฐิเอกธรรมชาตินิยม (Monophysites) ยืนยันว่าพระธรรมชาติมนุษย์ในพระคริสตเจ้าเลิกมีความเป็นอยู่เมื่อถูกรับเข้ามารวมอยู่กับพระบุคคลพระเจ้าของพระบุตรของพระเจ้า สภาสังคายนาสากลที่เมืองคัลเชโดนเมื่อปี ค.ศ. 451 ตอบโต้คำสอนมิจฉาทิฐินี้ ประกาศว่า
“ตามคำสอนของบรรดาปิตาจารย์ พวกเราทุกคนจึงประกาศยืนยันและสอนเป็นเสียงเดียวกันว่า พระบุตร พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงเป็นพระองค์เดียวกันที่สมบูรณ์ในพระเทวภาพกับพระองค์ที่สมบูรณ์ในพระธรรมชาติมนุษย์ ทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ทรงเป็นพระองค์เดียวกันที่ประกอบด้วยพระวิญญาณที่คิดตามเหตุผลและพระวรกาย ทรงร่วมพระธรรมชาติกับพระบิดาใน พระเทวภาพ และทรงร่วมพระธรรมชาติกับเราโดยธรรมชาติมนุษย์ ‘ทรงเหมือนกับเราทุกอย่างยกเว้นบาป’ ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลาในฐานะพระเจ้า ในวาระสุดท้ายพระองค์ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์พรหมจารี พระมารดาพระเจ้าในฐานะมนุษย์ เพราะเห็นแก่เราและเพื่อช่วยเราให้รอดพ้น
เราต้องยอมรับว่าพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระองค์เดียวกับพระบุตรหนึ่งเดียว องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงมีสองพระธรรมชาติที่ไม่ปะปนกัน ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แบ่งแยก ไม่มีวันจะแยกจากกันได้ ความแตกต่างของพระธรรมชาติทั้งสองไม่มีวันถูกการรวมกันนี้ทำลายลงได้ คุณลักษณะเฉพาะของพระธรรมชาติทั้งสองยังคงอยู่ดังเดิม แม้จะเข้ามารวมกันอยู่เป็นพระบุคคลหนึ่งเดียว”
CCC ข้อ468 หลังจากสภาสังคายนาครั้งนี้ บางคนทำให้พระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งสภาสังคายนาสากลครั้งที่ 5 คือสภาสังคายนาที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลเมื่อปี ค.ศ. 553 จึงประกาศโต้แย้งคนเหล่านี้ว่า “มีเพียงพระบุคคลหนึ่งเดียว (hypostasis = person) ซึ่งเป็นพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า(ของเรา) เป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ” ทุกสิ่งทุกอย่างในพระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้าจึงต้องนับว่าเป็นคุณสมบัติเฉพาะของพระบุคคลพระเจ้าของพระองค์ ไม่เพียงแต่อัศจรรย์ที่ทรงทำเท่านั้น แต่พระทรมาน และการสิ้นพระชนม์ด้วย เราประกาศว่า “พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงถูกตรึงกางเขนในพระกาย ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ เป็นหนึ่งในพระตรีเอกภาพ”
CCC ข้อ469 พระศาสนจักรจึงประกาศยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้โดยไม่แยกจากกัน ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริงซึ่งทรงรับสภาพมนุษย์ กลายเป็นพี่น้องของเรา ถึงกระนั้นก็ยังไม่เลิกเป็นพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
พิธีกรรมจารีตโรมันมีบทเพลงบทหนึ่งความว่า “พระองค์ยังคงเป็นอย่างที่เคยเป็น ทรงรับสภาพที่ไม่เคยเป็น” พิธีกรรมของนักบุญยอห์น ครีโซสตม ก็มีบทขับร้องที่ประกาศว่า “ข้าแต่พระบุตรเพียงพระองค์เดียวและพระวจนาตถ์ของพระเจ้า ผู้ทรงอมตะ พระองค์ทรงยอมรับสภาพมนุษย์จากพระมารดาของพระเจ้า พระนางมารีย์ผู้ทรงเป็นพรหมจารีเสมอ เพื่อความรอดพ้นของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงรับสภาพมนุษย์และทรงถูกตรึงกางเขนโดยไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ข้าแต่พระคริสตเจ้า พระองค์ทรงพิชิตความตาย ทรงเป็นพระองค์หนึ่งในพระตรีเอกภาพ ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระจิตเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นเถิด”
CCC ข้อ 2466 ความจริงของพระเจ้าปรากฏชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริงทรงเป็น “แสงสว่างส่องโลก” (ยน 8:12) พระองค์ทรงเป็นความจริง ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ไม่อยู่ในความมืด ศิษย์ของพระเยซูเจ้ายึดมั่นในพระวาจาของพระองค์เพื่อจะรู้ความจริงซึ่งจะช่วยให้เป็นอิสระและบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์ การติดตามพระเยซูเจ้าเป็นการดำเนินชีวิตเดชะพระจิตเจ้าแห่งความจริงที่พระบิดาทรงส่งมาในพระนามของพระองค์ผู้ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน 16:13) พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้รักความจริงโดยไม่มีเงื่อนไข “ท่านจงกล่าวเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’” (มธ 5:37)
(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)