วันเสาร์สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา (ปีคู่)
บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 10:24-33)
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูกบ้านร้ายกว่านั้นสักเท่าใด” “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราบอกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวออกมาในที่สว่าง สิ่งที่ท่านได้ยินกระซิบที่หู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน” “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก”
“ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ด้วย”
มธ 10:25 การมีส่วนร่วมในพันธกิจของพระคริสตเจ้า บรรดาอัครสาวกและศิษย์ของพระองค์ จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในพระทรมานและการถูกปฏิเสธเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย ‘เบเอลเซบูล’ เป็นชื่อที่มีความหมายว่า “เจ้านายผู้สูงสุด หรือ เจ้าแห่งโลกนี้” บางทีอาจจะมาจากชื่อของเทพเจ้าของคนต่างศาสนา ซึ่งอาจจะสับสนกับคำว่า “เบเอลเซบับ” ที่หมายถึง “เจ้าแห่งปิศาจ” ซึ่งเป็นชื่อของปีศาจในพันธสัญญาใหม่
มธ 10:28 วิญญาณ คือ องค์ประกอบสำคัญของมนุษย์ ร่างกายและจิตวิญญาณที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เราเป็นมนุษย์ ด้วยจิตวิญญาณนี้เองที่ขับเคลื่อนร่างกาย ของเราให้มีชีวิต นรก ที่เรียกว่า “เกเฮนนา” หรือ “ขุมไฟที่ไม่รู้จักดับ” คือสถานที่หรือสภาพของการถูกลงโทษชั่วนิรันดร์สำหรับผู้ที่ปฏิเสธความรักของพระเจ้า
Ccc ข้อ 363 ในพระคัมภีร์ คำว่า “วิญญาณ” บ่อยๆ หมายถึง “ชีวิต” ของมนุษย์ หรือ บุคคล มนุษย์ทั้งตัว แต่ยังหมายถึงสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในตัวมนุษย์และสิ่งมีค่าที่สุด ที่ทำให้เข้าเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าโดยเฉพาะด้วย “วิญญาณ” หมายถึงต้นกำเนิดที่เป็นจิตในตัวมนุษย์
Ccc ข้อ 364 ร่างกายของมนุษย์มีส่วนในศักดิ์ศรีการเป็น “ภาพลักษณ์” ของพระเจ้า ร่างกายมนุษย์นี้เองในฐานะที่วิญญาณซึ่งเป็นจิตทำให้มีชีวิต และมนุษย์ที่ทั้งคนเป็นบุคคลยังถูกกำหนดไว้ให้เป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าในพระวรกายของพระคริสตเจ้า “แม้ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ มนุษย์ก็มีเอกภาพเป็นบุคคลหนึ่ง โดยสถานภาพทางร่างกายของตน มนุษย์รวมองค์ประกอบของโลกวัตถุเข้าไว้ในตน จนกระทั่งว่าโลกวัตถุนี้อาจบรรลุถึงจุดยอดของตนและส่งเสียงสรรเสริญพระผู้สร้างได้อย่างอิสระเสรีอาศัยมนุษย์ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องไม่รังเกียจชีวิตที่มีร่างกาย ตรงกันข้าม เขาต้องคิดว่าร่างกายของตน ในฐานะที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างมาและจะต้องกลับคืนชีพในวันสุดท้าย เป็นสิ่งที่ดีและสมจะได้รับเกียรติ”
Ccc ข้อ 365 เอกภาพของวิญญาณกับร่างกายนี้ลึกซึ้งจนต้องถือว่าวิญญาณเป็น “รูปแบบ” ของร่างกาย นั่นคือเพราะวิญญาณซึ่งเป็นจิต ร่างกายซึ่งประกอบด้วยสสารจึงเป็นร่างกายแบบมนุษย์และมีชีวิตจิตและสสารในมนุษย์จึงไม่ใช่ธรรมชาติสองอย่างที่มารวมกัน แต่การรวมกันของทั้งสอง สิ่งทำให้เกิดธรรมชาติหนึ่งเดียวเท่านั้น
Ccc ข้อ 1034 พระเยซูเจ้าตรัสบ่อยๆ ถึง “เกเฮนนา – ขุมไฟที่ไม่รู้จักดับ” ที่สงวนไว้สำหรับผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมเชื่อและกลับใจจนถึงปลายชีวิตของตนเมื่อวิญญาณและร่างกายอาจถูกทำลายได้ พระเยซูเจ้าทรงใช้พระวาจารุนแรงแจ้งว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์มารวบรวม [...] ทุกคนที่ประกอบการอธรรมให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ” (มธ 13:41-42) และพระองค์จะทรงประกาศคำตัดสินลงโทษ “ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดร”(มธ 25:41)
Ccc ข้อ 1056 พระศาสนจักรปฏิบัติตามพระฉบับของพระคริสตเจ้า เตือนบรรดาผู้มีความเชื่อถึงความจริงที่น่าเศร้าและน่าเวทนาเรื่องความตายนิรันดรที่ยังมีชื่ออีกด้วยว่า “นรก”
Ccc ข้อ 1057 โทษนรกที่สำคัญอยู่ที่การต้องแยกตลอดนิรันดรไปจากพระเจ้าซึ่งมนุษย์จะมีชีวิตและความสุขได้ในพระองค์เท่านั้น และพระเจ้าก็ทรงเนรมิตสร้างเขามาเพื่อชีวิตและความสุขดังกล่าว และมนุษย์เองก็ปรารถนาจะได้ชีวิตและความสุขนี้ด้วย
มธ 10:29 เช่นเดียวกับ พระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 6 ข้อที่ 31-33 พระคริสตเจ้าทรงเรียกร้องให้เรามอบความไว้วางใจเยี่ยงบุตรต่อพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงดูแลเอาใจใส่ความต้องการต่างๆของเราอยู่เสมอ
Ccc ข้อ 305 พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เรามอบความไว้วางใจเยี่ยงบุตรต่อพระญาณเอื้ออาทรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ซึ่งเอาพระทัยใส่ต่อความต้องการแม้เล็กน้อยที่สุดของบรรดาบุตรของพระองค์ “ดังนั้นอย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร’ [….] พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้” (มธ 6:31-33)
มธ 10:32-33 เมื่อผู้ที่มีความเชื่อถูกเรียกให้กระทำเช่นนั้น เขาจะต้องเป็นประจักษ์พยานถึงความเชื่อในพระคริสตเจ้า โดยปราศจากความหวาดกลัว ถ้าพวกเขาต้องการจะเป็นศิษย์ที่แท้จริง
Ccc ข้อ 13 การจัดเนื้อหาของหนังสือคำสอนฉบับนี้ดำเนินตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมา คือจัดเนื้อหาคำสอนไว้บน “ฐานหลัก” สี่ฐาน ได้แก่ การประกาศยืนยันความเชื่อเมื่อรับศีลล้างบาป(บท “ข้าพเจ้าเชื่อ” หรือ fidei Symbolum) ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งความเชื่อ การดำเนินชีวิตตามความเชื่อ (หรือ “พระบัญญัติ”) และบทอธิษฐานภาวนาของผู้มีความเชื่อ (บท “ข้าแต่พระบิดา”)
Ccc ข้อ 14 ผู้ที่มีความเชื่อและรับศีลล้างบาปเป็น(ศิษย์)ของพระคริสตเจ้าต้องประกาศยืนยันความเชื่อของศีลล้างบาป เพราะเหตุนี้ ก่อนอื่นหมด หนังสือคำสอนจึงกล่าวถึงการเปิดเผยที่พระเจ้าเสด็จมาพบและประทานพระองค์แก่มนุษย์ และกล่าวถึงความเชื่อที่มนุษย์ตอบสนองต่อพระเจ้า(ตอนที่หนึ่ง) บท “ข้าพเจ้าเชื่อ” สรุปข้อความเชื่อที่พระเจ้าในฐานะบ่อเกิดความดีทั้งปวง ในฐานะพระผู้กอบกู้ และในฐานะพระผู้ประทานความศักดิ์สิทธิ์ ประทานแก่มนุษย์ และจัดเรียบเรียงเนื้อหาเรื่องความเชื่อศีลล้างบาปของเราออกเป็น “สามบท” คือ ความเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพและพระผู้สร้าง – ความเชื่อในพระบุตร องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่กู้ของเรา – และความเชื่อในพระจิตเจ้าผู้ประทานความศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนจักร (ตอนที่สอง)
Ccc ข้อ 1816 ศิษย์ของพระคริสตเจ้าต้องไม่เพียงแต่รักษาความเชื่อไว้เท่านั้น แต่ยังต้องดำเนินชีวิตจากความเชื่อนี้ด้วย นอกจากนั้น ยังต้องประกาศความเชื่อ เป็นพยานถึงและเผยแผ่ความเชื่อนี้ด้วย“ทุกคนต้องพร้อมที่จะเป็นพยานยืนยันถึงพระคริสตเจ้าต่อหน้ามวลมนุษย์และเมื่อถูกเบียดเบียนด้วย พระศาสนจักรซึ่งติดตามพระองค์ในหนทางไม้กางเขน ไม่เคยขาดการเบียดเบียนเช่นนี้เลย”เพื่อจะรับความรอดพ้นได้ เราต้องรับใช้และเป็นพยานถึงความเชื่อ “ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ด้วย” (มธ 10:32-33)
Ccc ข้อ 2145 ผู้มีความเชื่อต้องเป็นพยานถึงพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศความเชื่อถึงพระองค์โดยไม่ยอมแพ้ต่อความกลัว การเทศน์และสอนคำสอนต้องซึมซาบไปด้วยการกราบไหว้นมัสการและความเคารพต่อพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา