มธ 9:1-8…
1พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ 2ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำใจดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” 3ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้กล่าวดูหมิ่นพระเจ้า” 4พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจทำไม 5อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น เดินไปเถิด’ 6แต่เพื่อให้ท่านทราบว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้”พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาต ว่า “จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้านเถิด” 7เขาก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน 8เมื่อประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ประทานอำนาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์
อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• พ่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพ่อ พร้อมกับพี่น้อง 15 คน... เมื่อวานพ่อกลับไปอยู่บ้านที่เจ้าเจ็ดซึ่งก็ยังเหมือนเดิม บ้าน ริมคลองหนองบัว อากาศ สายน้ำ เป็ดน้อยมาเฟียสามตัวที่ว่ายไปมาในคลองดุจเจ้าของคลองที่ไม่ยอมให้นกตัวใดลง มากินน้ำ มันจะมุ่งเข้าไปขับไล่ทันที พ่อนั่งคุยกับพี่สาว พี่บอกว่า “มันคิดว่าคลองเป็นของมัน มันเป็นเจ้าของคลอง” พ่อนั่งดูพ่อก็ขำ นั่งทำงานอ่านสมณสาสน์เล่มล่าสุดของพระสันตะปาปา เรื่องการที่เราต้องดูแลรับผิดชอบสภาพแวดล้อม น่าสนใจ พระองค์สอนตรงกับเวลาและยุคสมัยจริงๆ
• ที่พ่อว่าพ่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับชีวิตพ่อกับพี่น้อง คือ นี่คืออาทิตย์ที่สามผ่านไปแล้ว หลังจากที่จาของพวกเรา (ต้องใช้คำว่าพวกเรา จริงใช้คำว่า “พรรค” ก็ยังใหญ่กว่าพรรคการเมืองบางพรรค ด้วย เพราะพวกเรา ลูกจา 15 คน) ช่วงจาป่วยหนัก พี่ๆเขามีกลุ่มไลน์ที่คุยกันสื่อสารกัน เขาทำกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่พ่อเพิ่งได้รับเชิญเข้าร่วมวงไลน์ของพวกเขา... พ่อก็เข้าไป (พี่บางคนบอกกันว่า เชิญพ่อเกียรติเข้ามาเดี๋ยววงแตก เพราะภาษาพวกเราหนุกหนานและก็หลายครั้ง ก็สัพเพเหระ... แต่พ่อเข้าไปก็บางทีก็นะ... สนุกสนานกับพี่ๆ คุยกัน) สาระสำคัญก็คือเรื่องของพวกเรา ส่วนใหญ่เรื่องความเจ็บป่วยของจา ณ เวลานั้น จะทำอย่างไรดี เอาแบบนี้ เลือกอย่างไรให้จาเจ็บน้อยที่สุด และบ่อยๆพี่ก็พรรณนากันว่า “สงสารจา” พ่อก็บอกกับทุกคน “อย่าพยายามพูดคำว่า “สงสาร” เพราะจิตใจพวกเราจะห่อเหี่ยว... ก็นะครับพี่น้องผู้หญิงเยอะ เดี๋ยวก็ “สงสารจาจัง” อะไรทำนองนี้
• ที่พ่อว่าแปลกจัง ก็เพราะว่านับจากวันที่จาป่วย...พวกเราพี่น้องคุยกัน ยิ่งป่วยหนัก เรายิ่งคุยกันมากขึ้น... จำได้ว่า ตอนรู้ว่าหนักมาก พ่อก็ให้กำลังใจเสมอ เตือนใจพี่ๆว่า “ไม่เป็นไร” แต่ขณะเดียวกันพ่อก็เตรียมอะไรๆเงียบๆ บางเรื่องก็ไม่ได้บอกใคร.. เตรียมของที่ระลึก สั่งโลงที่คิดว่าสวยและเหมาะสมกับความเชื่อและสิ่งที่จาชอบคือ “ไม้” งานลายไม้สวยงาม จาชอบที่สุด... พ่อติดต่อคุยกับพ่อเจ้าวัด คุยกับมาเซอร์ที่แสนใจดีและมีจิตวิญญาณแห่งการอภิบาลผู้ป่วยที่โรงพยาบาล กับพี่น้องก็บอกให้ทำใจ และเตรียมพร้อม... พวกเราก็ไลน์คุยกัน สนุกบ้าง เตรียมสิ่งต่างๆบาง ให้กำลังใจบ้าง
• ที่ว่าพ่อรู้สึกแปลในหมู่พี่น้องคือ เมื่อจาสิ้นชีวิตและจากไปแล้ว จนถึงเวลานี้... พวกเราไลน์คุยกันทุกวัน พี่ๆบางคนก็ออนไลน์ตลอดทั้งวัน ว่างก็ส่งไลน์คุยกัน ส่งสติ๊กเกอร์ให้กัน ถามไถ่กันเรื่องอาหารการกิน พี่บางคนก็ออกจากบ้านตนไปทั้งอาทิตย์ไปอยู่กับน้องที่เจ้าเจ็ด ไปทำอาหาร พากันไปซื้อของ พูดคุย และก็ไปอยู่กันเพื่อดูแลพี่สาวคนที่สี่ที่ป่วยมานาน น้องๆก็คุยกันทางไลน์ หาทางช่วยกันดูแล ให้อาหารที่ดี เพราะเขาผอมมาก...ฯลฯ พวกเราคุยกัน มีสนุก ส่งสติ๊กเกอร์หยอกล้อกัน เจ้าพี่ชายคนที่ติดพ่อก็ตัวดี.. ขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ รูปเก่ามาเยอะแยะสมัยเราเป็นเด็ก รูปทั้งขำ ตลก ไร้สาระแต่สุดยอดทำให้พวกเราคิดถึงวัยเด็กสนุก ขำ พ่อก็เลยได้รูปเก่าๆมาดู และพี่ชายตัวดีก็เอารูปมารีทัชตบแต่งภาพ จังหลานๆใส่แว่นตา จับพี่น้องตอนเด็กมาทำเป็นตัวตลก
• สรุปว่า พวกเราใกล้ชิดกันมากขึ้นตั้งแต่วันที่เราสูญเสียหรือจาจากไป... บางเวลาก็เราเรียกว่า “ดราม่า” คือ ถ้าคนหนึ่งเล่าถึงจาในมุมที่เราจำได้ ความน่ารัก และมีอาการดราม่า เดี๋ยวๆในไลน์ก็เงียบงัน ไปหามุมเงียบร้องไห้คิดถึงจากัน... เมื่อวานพ่อออกจากบ้านจะกลับบ้านเณร เย็นแล้ว พ่อไปนั่งเงียบๆอยู่ศาลาริมคลองหนองบัวทั้งวันอย่างที่บอกตอนต้น... เมื่อออกมา น้องคนเล็กที่ในไลน์พี่สาวที่ไปอยู่ไปเยี่ยมเป็นเพื่อน เรียกแบบน่ารักว่า “นางมารน้อย” นางมารน้อยมาส่งพ่อที่รถ... กับพี่สาวจอมทำอาหารเลี้ยงพวกเรา พ่อออกมาเงียบๆ เงียบกว่าที่เคย เพราะปกติคนที่มาส่งต้องขี่รถคันเล็กที่จอดอยู่ คลุมผ้าไว้ คือ จาพ่อ... เมื่อกลับมานางมารน้อยบอกในไลน์ว่า อยากบอกพ่อเหมือนจาบอกทุกครั้ง “พอขับรถช้าๆ ขับรถปลอดภัยนะ จาสวดให้” (นางมารน้อยเล่ามาในไลน์และดูเหมือนจะดราม่าน้ำตาปน...)
• พ่อออกมาจาาบ้านเมือวาน ก็ขับตรงไปสุสานของวัด ไปจอดรถ ลงไปเยี่ยมจา นั่งภาวนาเงียบๆ สักพัก และก็ออกเดินทางกลับสามพราน (ไม่ได้ดราม่าแต่น้ำตามันไหลออกมเอง...ถ้าไม่เล่าตรงนี้ก็ไม่มีใครรู้เพราะ อยู่ในรถคนเดียว แต่ที่เล่าก็เพื่อให้เรื่องเล่านี้เดินหน้าต่อไปได้... พ่อก็ส่งรูปที่สุสานเข้าไปในไลน์ และก็เซลฟี่หน้าตัวเองที่ตาแดงไปให้พี่ๆดู เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาช่วงจาป่วย ตลอดงานศพ พวกเขาไม่เคยได้เห็นน้ำตาน้องชายที่เป็นพระสงฆ์คนนี้... มันตกครับ แต่มันตกอยู่ข้างใน 555 แต่พอมาเยี่ยมจาคนเดียว ขับรถกลับ ก็ดราม่ามากหรือน้อย ไม่มีใครได้เห็นครับ)
• นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น... พวกเราพี่น้องสิบกว่าคน นับจากวันจากไปของจา...ขอบคุณไลน์ที่ทำให้เราได้มีโอกาสคุยกันทุกวัน แบ่งปันทุกข์สุขกันทุกวัน “ดราม่ากันนิดหน่อย” (เมื่อสองวันก่อนพวกเขาเข้าไปสวดก่อนนอนในห้องนอนจา... ก็ได้ยินว่า น้ำตากระเด็นกันอีก)
• ที่สุด ถามตนเองว่า วันนี้พ่อเล่าเรื่องราวอาจดูไร้สาระในสายตาของพี่น้องที่รัก เล่าเรื่องพี่น้องในครอบครัวของพ่อทำไม เล่าเรื่องความขำ รอยยิ้ม หรือดราม่าเจ้าน้ำตาของพี่น้องของพ่อทำไม (เดี๋ยวพี่ๆต้องมีบ่นพ่อแน่ โดยเฉพาะเจ้ามารน้อย) อันที่จริงๆพ่อมีเป้าหมายครับ... “พ่อแยกไม่ออกว่า น้ำตาที่ร้องไห้กันอยู่ มันความทุกข์จริงๆไหม??? หรือมันเป็นความสุขกันแน่???”
• พ่อมีคำตอบครับ “ความสุขครับ” พระเยซูเจ้าตรัส “บุญลาภ(ความสุขแท้) แก่ผู้เป็นทุกข์ (ร่ำไห้เสียน้ำตา) หมายถึงน้ำตาดราม่า การร้องไห้ที่อันที่จริงมันมาจาก “ความรักอัดแน่นอยู่ในหัวใจ” ความรักต่อบิดาผู้ให้กำเนิด ความรักต่อจา ต่อประสบการณ์ดีๆมากมายห้าสิบปีสำหรับพ่อ สำหรับพี่ๆ ก็ยาวกว่านั้น... การตายจากไม่ใช่เหตุโดยตรงของความเสียใจ (หลายคนตายไปพวกเราก็ไม่รู้ เจ้าพ่อ หรือมาเฟียถูกยิงตาย คนร้ายถูกเก็บ หรือคนที่เราไม่รู้จักเสียชีวิต... เราก็ไม่รู้สึกอะไร แต่คนใกล้ตัว จาเราจากไป..เรารู้สึกมากเพราะความสัมพันธ์ยาวนา ความรักมากมาย) สรุป...น้ำตาดราม่าอย่างที่พวกเราคุยกันในไลน์ พ่อรู้ครับ มันคือความสุขลึกจริงๆ ความสุขแท้จริงๆที่พวกเราได้รักกัน ได้มีจาทีรักและได้เกิดมาเพราะความรัก (เขียนต่อนั่งเงียบๆคนเดียวแบบนี้เดี๋ยวพ่อจะดราม่าไปด้วย.. พี่น้องอ่านไปถ้าคิดถึงพี่น้องหรือคนที่เรารัก เดี๋ยวก็จะดราม่าตาม)
• พี่น้องครับ... ความสุขแท้แก่คนที่ร้ำไห้เสียน้ำตาม เพราะความรักต่อพระเจ้า (เมื่อตนทำบาป) เพราะความรักต่อเพื่อนมนุษย์เมื่อเกิดการพลัดพราเพราะความตาย จึงอันที่จริง.. นั่นคือ “ความรักอัดแน่นในหัวใจ นั่นคือดราม่าธรรมดาชีวิตของคนเราครับ” (ตลอดงานจา ไม่มีใครได้เห็นน้ำตาหรือปล่อยโฮออกมาของพ่อ เพราะพ่อได้เลียนรู้ว่า... “ความสุดยอดของคนเราจะถูกทดสอบ เมื่อเรายังสามารถให้กำลังใจคนรอบข้างได้เสมอ ขณะนั้นที่ตัวเราเองกำลังพานพบกับมรสุมอย่างหนักในชีวิต” พ่อต้องถูกทดสอบที่จะเป็นพระสงฆ์ที่ยังให้กำลังใจทุกคนได้ เสริมกำลังทุกคนได้อย่างมีพลังมากขึ้น เพราะแทนที่จะระบิดออกมาเป็นน้ำตาดราม่า แต่ส่งเป็นขุมพลังระบิดออกมาเป็นความรักและความห่วงใยยิ่งกว่าเดิม
• พระเยซูเจ้า ทรงเห็นคนเป็นอัมพาตที่เขาหามมาบ่นแคร่.. พระองค์ตรัส “บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” นั่นคือ วาจาปลอบโยนและเสริมกำลังจากพระหฤทัยของพระองค์ (พ่อในที่ฟังแก่บาป เป็นเวลาที่ยอดเยี่ยม บ่อยครั้ง พี่น้องมาแก้บาปอย่างดีเหลือเกิน บางท่านมาพร้อมน้ำตาแบบดราม่าด้วย เขาเสียใจที่เขาได้ทำบาปไป...น่ารักจริงๆ เพราะเขารักพระเจ้า เขารักเพื่อนพี่น้อง เขาเสียใจ... พ่อรู้สึกดีมากๆที่ได้ฟัง ฟัง ฟัง ปลอบโยนใจและที่สุด...พ่อก็ลงท้ายตามสูตรการให้อภัย... “..พ่อจึงอภัยบาปทั้งสิ้นของลูก เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต...จงไปเป็นสุขเถิด”
• พ่อเชื่อว่า ทุกคนที่มากแก้บาปอย่างดี เขาจะลุกขึ้นออกไปอย่างสุขใจ... วันนี้ พระเยซูเจ้าก็ให้อภัยบาปของคนอัมพาต แต่ประโยคสุดท้าย คือ “ลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้านเถิด”
• พี่น้องที่รักครับ พ่อสรุปเรื่องราวละครับ ที่พ่อเล่ามาทั้งหมดซึ่งอาจเป็นเรื่องดราม่าขำๆปนน่ารักของนางมารน้อย...และ พี่น้องในครอบครัว แต่ทั้งหมดคือ
o ประการแรก “ความรัก” ความอบอุ่นที่เรามีต่อกัน พ่อคิดว่านี่ไม่ใช่บทสอน ครอบครัวพ่อไม่มีอำนาจหรือมีฐานะใดๆที่จะสอนใครได้... แต่พ่อแบ่งปันประสบการณ์ความรักจากหัวใจเล็กของพวกเราเพื่อทำให้ทุกท่านได้ รักมากขึ้น มากขึ้น ในความรัก พี่น้อง ครอบครัว ไม่ได้มีกันและกันเป็นความรัก ไม่ได้มีจาแม่เป็นความรัก แต่มี “ความรัก” เองที่ผูกพันเราครับ และถ้าดูลึกๆ พระเจ้าองค์ความรักคือผู้ผูกพันเราทุกคนจริงๆ
o ประการที่สอง “การเสริมกำลังกันให้ลุกขึ้น” ความรักทำให้เราเสริมกำลังกันให้ลุกขึ้น ไม่ใช่จากสภาพที่ดราม่า แต่เป็นลุกขึ้นจากบาป จากความโดดเดี่ยวหรือบกพร่อง ความรักทำให้เราพี่น้องคริสตชนได้แข็งแรง เติมกำลังกันและกันด้วยความรักได้มากขึ้น พ่ออยากเห็นพี่น้องญาติกันลุกขึ้นเสมอ แน่นอน เราคงบอกคนเป็นอัมพาต หรือคนเจ็บหนักๆลุกขึ้นไม่ได้แล้ว...(อาจเป็นญาติในครอบครัวเรา) แต่เราต้อง “ลุขขึ้น” จากอัมพาตฝ่ายจิตใจที่ไม่ได้เหลียวแลและคิดจะไปเยี่ยมเยียน ไปหาก่อนที่เวลาจะจบลง “ลุกขึ้นครับ” เลิกเป็นอัมพาตฝ่ายจิตใจ และไปหากันและกันครับ
o ประการสุดท้าย ถ้าเราเป็นอัมพาตที่ไม่ยอมลุกขึ้นไปหาพระเจ้า เป็นใบ้ ดื้อที่ไม่ยอมร้องขอความเมตตาจากพระเจ้า จงลุกขึ้น แบกที่นอนแช่อยู่นั้นไปด้วย ลุกขึ้นกลับไปหาความรักแท้ที่ร้องเรียกจากพระเจ้าของเราเถิดครับ...
• ขอพระเจ้าอวยพรครับ พี่น้องที่รักครับ ขออภัยวันนี้ดราม่าในหมู่พี่น้องครอบครัวพ่อไปหน่อย แต่ก็นะ... อยากเห็นทุกครอบครัวมีความสุขกับการได้หันหน้าหากัน พูดคุยกัน และรักกัน เพราะ นั่นคือความสุขจริงๆและมีพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเสมอครับ... (วันนี้น้องพ่อคงอ่าน ขำ และเคืองพี่ชาย ที่เอาคำว่า นางมารน้อยมาเขียน ก็มันดูน่ารักร้ายนิดๆอะไรทำนองนั้น) สวัสดีครับ