แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

มก 12:38-44...

38พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนขณะที่ทรงสั่งสอนว่า “จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ 39พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง 40คนพวกนี้กินบ้านของหญิงม่าย และอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง คนเหล่านี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น”
41ขณะที่พระองค์ประทับนั่งตรงหน้าตู้ทาน ทอดพระเนตรเห็นประชาชนใส่เงินลงในตู้ทาน คนมั่งมีหลายคนใส่เงินจำนวนมาก 42หญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเข้ามา เอาเหรียญทองแดงสองเหรียญใส่ลงในตู้ทาน 43พระองค์จึงทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ทำทานมากกว่าทุกคนที่ได้ใส่เงินลงในตู้ทาน 44เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”


อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• พ่ออ่านพระดำรัสของพระเยซูเจ้าวันนี้แล้วขนลุกจริงๆ “จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำนับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง”

• พ่อรู้สึกถึงประสบการณ์เหล่านี้ และถึงเวลาที่เราต้องทบทวนมโนธรรมของเรา มโนธรรมของพ่อเองจริงๆ ประโยคต่อไปนี้ของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับบรรดาธรรมาจารย์ล้วนเป็นจริงกับ ชีวิตพ่อในปัจจุบันในฐานะพระสงฆ์ และก็เห็นเป็นจริงในฐานะนักบวชทั่วไปด้วยเช่นกัน... มาแกะทีละประโยคกันครับ...


o “สวมเสื้อยาวเดินไปมา”... เหอๆๆๆ ที่บริเวณพระวิหาร บรรดาธรรมาจารย์ ฟาริสี และคนสอนศาสนาทั้งหลายก็แต่ตัวกันด้วยชุดยาวๆ มีแบบฟอร์ม แบบฟาริสี ชาวฟาริสี ผู้ห้อยรุงรัง และก็เป็นที่สนใจของคนในศาสนา บรรดชาวยิวก็ให้เกียรติกับคนพวกนี้มากๆ เพราะถือว่าเป็นคนมีการศึกษา รู้พระศาสนาและธรรมบัญญัติของโมเสส อ่านแล้วก็คิดถึงตนเอง พระสงฆ์นักบวช ก็มีที่พิเศษเสมอ เสื้อยาว เสื้อหล่อ เสื้อยาวในมิสซา ดูมากมายใช้ได้... และพระองค์ตรัสก็จริงสำหรับพ่อเหมือนกัน น่าทบทวนตนเองจริงๆก่อนอื่นใคร..

o “พอใจให้คนคำนับตามลานสารธารณะ”.... ตรงนี้พอก็มิกล้าหรอกว่าพ่อรู้สึกอยากให้คนคำนับ ไหว้ “สวัสดีค่ะคุณพ่อ” พ่อเขินมาก จนถึงมาจริงๆ ใครก็สวัสดี ให้เกียรติ คำนับ และก็บ่อยๆ ก็เยินยอบ่อยๆ พ่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากบอกเสมอว่า “สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าลูก” พ่อรู้สำนึกว่าตนเองไม่มีอะไร ไม่เหมาะสม ไม่สมควรจะได้รับการคำนับให้เกียรติ เพราะเป็นพระเจ้าต่างหากที่ให้เกียรติแก่เรา เราเป็นเพียงผงคลีดินเมื่อเปรียบกับพระองค์...โอ เราไม่มีอะไร

o “พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม”... ไม่เคยเลยในชีวิตพ่อที่ไปร่วมพิธีมิสซาแล้วจะไม่มีที่นั่ง ถ้าเป็นพระสงฆ์ ก็มีแน่ๆ ไม่ต้องกังวล.. พอยอมรับตรงๆว่า ทุกสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสตำหนิธรรมาจารย์ช่างตรงกับพ่อก่อนอื่นใคร ตรงกับพวกเรานักบวชพระสงฆ์ก่อนอื่นใครจริงๆ ทุกประโยคที่พระองค์ตรัสมานี้จริง จริงกับชีวิตพระสงฆ์ของพ่อจังเลยครับ

o “พอใจนั่งที่หัวโต๊ะในงานเลี้ยง”.... โอย พ่อเองก็โดนจับให้ไปนั่งในที่พิเศษเสมอ โต๊ะพิเศษ อาหารพิเศษ เคยไปงานวัดเกิดในโรงแรมดีๆ พ่อแม้เป็นพระสงฆ์เด็กเล็กน้อย ก็ได้รับเชิญไปนั่งกับโต๊ะเจ้าของงานวันเกิด ได้รับเรียกไปนั่งกับพระสังฆราช และเจ้าของงาน มีแต่ผู้ใหญ่ พ่อก็หงอๆไปเลย โต๊ะกลางที่บอลรูม หน้าเวที... ชีวิตอะไรจะได้รับเกียรติขนาดนี้... เด็กบ้านนอกจากเจ้าเจ็ดเอ๋ย... เจ้าได้สิ่งเหล่านี้ด้วยเหตุผลอะไร เจ้าทำได้ต้องได้รับสิ่งเหล่านี้ด้วยเล่า... เกินความเข้าใจจริงๆ เกินไปมากกว่าฐานะและรากเหง้าของตน (ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นพระสงฆ์ พ่อก็คงไม่มีความหมายอะไรเลย แต่พ่อขอบอกก่อนนะว่า พ่อไม่ได้พอใจนั่งแบบนั้นเท่าไร พ่ออยากหามุมเงียบ ไกลๆ สงบๆ และสันโดด ชีวิตเลือกยาก และบ่อยครั้ง ก็ถูกเรียกร้องให้เราต้องทำ แล้วก็ยากที่จะปฏิเสธ)

• ประโยคต่อไปนี้พระเยซูตรัส พ่อฟังแล้วยิ่งสะดุ้ง พระองค์ตำหนิแรงบางประการ... เรามาอ่านกัน...

o “คนพวกนี้กินบ้านของหญิงม่าย”... ประโยคนี้ ฟังแล้วเหมือนเจอเบรคอย่างแรง หัวทิ่มหัวตำเลย... บรรดาหญิงหม้ายในสังคมสมัยพระเยซู คือบรรดาคนชายขอบสังคมที่น่าสงสารที่สุด บ่อยครั้งบรรดาหญิงหม้ายมีคดีความเรื่องที่ดิน เรื่องสมบัติของสามีผู้จากไป และแน่นอน บรรดาคนที่ทำหน้าที่ตัดสินก็คือบรรดาผู้ใหญ่ในศาสนาซึ่งเป็นกฎหมายของยิว และต้องช่วยเหลือเยียวยาผดุงความยุติธรรม แต่...บ่อยๆ ความโลภของพวกนี้ก็เป็นโอกาส ที่จะฉ้อโกง และทำลายโอกาสที่เหลือน้อยนิดของบรรดาหญิงหม้าย เอาอีก แทนที่จะช่วย กลับฉวยฉกโอกาสแย่งชิงหรือเรียกเก็บจากบรรดาหญิงหม้ายที่ไร้ทางสู้ แต่กลับต้องจ่ายค่างวดทางสังคมและศาสนาที่มาเรียกร้องกดขี่ ความยากไร้แทนจะได้รับการช่วยเหลือเห็นใจ กลับถูกทำเป็นโอกาสให้ฉ้อโกงต่อไป...

o “อธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง”... พวกฟาริสีธรรมจารย์ทำตัวโดดเด่นในสังคม และบ่อยครั้ง ก็ฉวยเอาหน้าที่ภาวนาที่มีอยู่พร้อมกับเสื้อยาวรุงรัง มาเป็นโอ่อวดศรัทธาในพระเจ้า เรียกว่า สร้างเครดิตในตนเองโดยโกงเครดิตของพระเจ้ามาเป็นของตนเอง เพื่อตนเอง... พระเยซูเจ้าทรงตำหนิมากๆ กับพฤติกรรมเหล่านี้

• พี่น้องที่รักครับ... พระเยซูเจ้าสรุปว่า “คนแบบนี้ จะรับโทษหนักกว่าคนอื่น” พ่อว่าก็จริงๆนะ 

o ถ้าข้าราชการทำผิดต้องควรได้รับโทษหนักกว่าคนอื่น

o ถ้าตำรวจทำผิดรีดไถ ใช้โอกาสกระทำอยุติธรรม ก็แน่นอนว่าควรได้รับโทษหนักกว่าคนอื่นที่ไม่มีหน้าที่ช่วยเหลือบำบัดทุกข์ ประชาชน... เพราะโอกาสมีไว้เพื่อทำความดีเพื่อคนอื่น แต่กลับ “ฉกฉวย” โอกาสไปทำความเลว... สังคมของเรา ประเทศของเรา แม้แต่ศาสนาของเราก็ไม่ได้ห่างจากคำตำหนิของพระเยซูเจ้ามากนักเลยครับ

o ถ้าผู้นำชุมชน อบต อบจ ฯลฯ ผู้แทนราษฎร์จำนวนไม่น้อยที่ผ่านมานั่นแหละตัวดีนัก (ไม่ใช่ทุกคนแต่เยอะ) ใช้เสียงที่ได้มา (อาจซื้อมา) กอบโกยประโยชน์ นั่งแถวหน้า กินบ้านคนจน กินไปยังหาเสียงให้ตนเอง... จบกัน

o พระสงฆ์ นักบวช... ถ้าบวชเพื่อตนเอง ทำหน้าที่ศาสนบริกรเหมือนอาชีพ เพื่อรายได้ เพื่อความร่ำรวย และบ่อยครั้ง จากอภิบาลเป็นเพียงงานบริหารและบริการ จากงานแพร่ธรรมกลายเป็นเพียงงานประกาศตนเอง... ก็ไม่ไหวละครับ.. ก่อให้เกิด “การเมืองในหมู่เรา” ก่อให้เกิด “ระบบผลประโยชน์พวกพ้องพรรคในหมู่เรา” จนบ่อยครั้งก่อนให้เกิด “พวกพ้องพวกพ่อพวกซิสเตอร์ พวกนั้น พวกนี้ ในหมู่เรา”... ที่สุด พระศาสนจักรก็ตกอยู่ในระบบวังวนแห่งความแตกแยก ผลประโยชน์ และศาสนาก็เป็นเพียงฉากหน้าของชีวิต... ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่พระเยซูเจ้าตำหนิ ก็ตกลงบนชีวิตของเราจริงๆครับ

o ไม่เอา ไม่เอา ระบบ ระบอบ ที่เคลือบแฝงและขาดความรัก ล้วน ไม่น่ารักทั้งสิ้น ไม่เอาในหมู่เรานะครับ.. พระศาสนจักร คนศาสนา ต้องงดงาม และเปี่ยมด้วยความซื่อตรง ไม่มีประโยชน์แอบแฝงแซงหน้าเด็ดขาดครับ... เรามาปฏิรูปชีวิตของเราทุกคนด้วยกันนะครับ

• ประเด็นเรื่องเงินถวายพระเจ้า จากเศษเงินของเศรษฐี กับเงินที่เหลือเพื่อชีวิตของหญิงหม้าย... “ทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”

o การถวายพระเจ้า การให้ทานด้วยเงินที่เหลือใช้ กับการให้จากสิ่งมีเพียงเล็กน้อยและจำเป็นสำหรับตนเอง แต่นำมาถวายแด่พระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงชื่นชมหญิงหม้ายยากจนคนนั้น

o พ่อเคยถามตนเอง...เมื่อเราคนเราจะพอเพียง และรู้ว่าพอ มีหลายคนคิดว่า มีมากพอแล้วจะแบ่งปัน จะทำบุญ จะให้ หรือจะถวายพระเจ้า แล้วคำถามคือ “คำว่าพอแล้ว” จะมาถึงเมื่อไรกันหนอ... ประสบการณ์บอกกับพ่อว่าหลายคนที่มีมากมาย แต่ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้เพราะรัก เมตตา และรู้สึกขอบคุณพระเจ้า และยินดีให้นั้น ดูเหมือนจะยากเหลือเกิน

o สำหรับบางคนก็ให้เสมอ ให้จนเป็นนิสัยคุณธรรม ถ้ามีก็เป็นต้องให้และแบ่งปัน แบบนี้งดงามมากๆ พ่อคิดว่า แบบนี้แหละที่สวยงามและเป็นการแบ่งปันที่แท้จริง ความรู้สึกถึงการทำทาน การแบ่งปัน การถวายพระเจ้าเพื่อความดีของเพื่อนพี่น้อง.. ต้องฝึกครับ ต้องฝึกที่จะแบ่งปันและทำบุญเสมอ....

• พ่อคิดว่า เราจำเป็นต้องให้ ต้องแบ่งปันเสมอ เพราะ “การแบ่งปันและการให้คือความรัก” ไม่ว่าคนจนมากหรือรวยมากต้องรักเช่นกัน ความรักทำให้คนเรากล้าออกจากตัวเองและให้แก่คนที่ยากไร้กว่าเรา หรือกล้าที่จะถวายเกียรติ และถวายพระเจ้าด้วยความรักเช่นกัน....

• พ่อคิดว่า เราคริสตชนจำเป็นต้อง “ใจดี” นะครับ เท่าที่เราทำได้ เพราะความใจดี การให้ การแบ่งปัน คือ ความรัก ครับ... พ่อเอง พระสงฆ์ นักบวช ก็ต้องเป็นเช่นกัน เราต้องเรียนรู้แบ่งปัน ให้มากกว่าเสมอ ถ้าเราเป็นฝ่ายรับ เก็บ สะสม และมีมากมายในเรื่องเงินทอง แล้วเราจะถือความยากจนได้อย่างไร ความยากจน ไม่ใช่ซอมซ่อซ๊กม๊ก แต่ความยากจนที่แท้จริง คือ การไม่ยืดติดกับทรัพย์สมบัติเงินทอง แต่พร้อมจะเสียสละ แบ่งปัน อย่างไม่เสียดาย และรู้สำนึกว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูเรา... พระสงฆ์ นักบวช มีก็ต้องทำทานและแบ่งปันเช่นกัน กล้าให้ กล้าแบ่งปัน ไม่ยึดติด ยิ่งถ้าเป็นเงินที่เราได้มาจากความใจดี เราต้องกล้าให้ด้วยความใจดีเช่นกัน....

• คงแย่แน่ๆ ถ้าเราเป็นคนสวมเสื้อผ้ายาวรุงรัง เสื้อยาว นั่งที่ดีมีเกียรติ และได้รับการยกย่องว่าเป็นคนของพระเจ้า มีโอกาสได้รับสิ่งดีๆมากมาย และถ้าเราพระสงฆ์นักบวช ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ และแสวงหาไม่รู้จบ คงไม่งาม และแย่แน่ๆ พระเยซูเจ้าตำหนิเลย... “พวกนี้จะรับโทษหนักกว่าผู้อื่น” ได้ยินพระวาจาแล้วเสียวสันหลังเลยครับ...

• พี่น้องที่รัก คริสตชนที่ดี ต้องใจดี รักเมตตา และพร้อมจะแบ่งปันเสมอนะครับ.... ขอให้เราเป็นคนใจดีเหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์ของเราครบั... พระเจ้าอวยพรครับ