ยน 16:20-23…
20“เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า
ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ แต่โลกจะยินดี
ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี
21หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรย่อมมีความทุกข์
เพราะถึงเวลาของนางแล้ว
แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็จำความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป
เพราะความยินดีที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในโลก
22ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน
บัดนี้ท่านมีความทุกข์
แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะยินดี
ไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้
23วันนั้น ท่านทั้งหลายจะไม่ถามอะไรจากเราอีก
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา
พระองค์จะประทานให้ท่านในนามของเรา
อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• ความเจ็บปวดที่มีความยินดีลึกๆแฝงอยู่ภายใน ความเจ็บปวดที่สมเหตุผลและยอมได้อย่างมีความสุขจริงๆ เปี่ยมด้วยความหวังและความสุขจริงๆ พระเยซุเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ “ท่านจะร้องไห้ คร่ำครวญ แต่โลกจะยินดี ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี” ประโยคนี้ดูเป็นพาราด๊อกซ์คือขัดแย้งกัน ความเศร้าโศกแท้จริงคืออะไร ความมเจ็บปวดที่ยินดีคืออะไร พระองค์ได้ประทานตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดในประสบการณ์ของโลกนี้...
• “หญิงที่กำลังจะคลอดบุตรย่อมมีความทุกข์ เพราะถึงเวลาของนางแล้ว แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็จำความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป เพราะความยินดีที่มนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในโลก” พ่อไม่อาจเข้าใจได้ด้วยประสบการณ์โดยตรงเพราะพ่อไม่เคยคลอดบุตรแน่ๆ แต่พระคัมภีร์โดยตลอดชอบใช้ภาพลักษณ์ของการตั้งครรภ์ การร้องเจ็บครรภ์ด้วยความปวดร้าวแทบจะสิ้นใจ และบ่อยครั้ง มารดาคลอดบุตรก็ขาดใจจริงๆเสียด้วยในอดีตกาลที่การแพทย์ไม่เจริญนัก ถ้าเกิดความผิดพลาด เด็กไม่กลับหัวลงมา นั่นหมายถึงความตายของมารดาเลยทีเดียว และประสบการณ์นั้นๆ ก็น่าหวาดหวั่นและน่าหวาดกลัวจริงๆ แต่ แต่ แต่ ... ประสบการณ์ก็บอกเสมอมาว่า ความเจ็บปวดนั้นๆยอมได้ มีความรักเป็นรากฐานและปลายทาง อ่านดีๆนะครับ พ่อสรุปว่า “ความรักเป็นรากฐานและปลายทางหรือเรียกว่าเป็นบ่อเกิดและจุดหมายของ ประสบการณ์ความเจ็บปวดนั้นๆ”
• ความเจ็บปวด การถูกเบียดเบียน น่ากลัวเสมอ แต่.. “ความรัก” คือ “รากฐานและเป้าหมาย” ทำให้ความเจ็บปวดทั้งหลายมีค่าต่อไปได้เสมอเช่นกัน...
• พ่อมีประสบการณ์จะเล่านิดหน่อยครับ
o พ่อได้คุยกับคุณน้าผู้เป็นทั้งมารดา คุณยายคุณย่าของหลานๆ ท่านเป็นคริสตชน และมีประสบการณ์ความยากแสนลำบากในการรัก ในการกอบกู้ เลี้ยงดูและช่วยเหลือครอบครัวให้รอด ต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทำเลทำมาหากินด้วยความลำบากยากยิ่ง ท่านอายุมากพอควร แต่ความเป็นคริสตชนของท่านก็แสนสุดยอด
o ท่านเคยเล่าให้พ่อฟัง ในยามที่พ่อกำลังเผชิญความเจ็บป่วยของจาพ่อ... พ่อรู้ว่าความลำบาก ความเจ็บปวดและเจ็บป่วยจำนำมาซึ่งความพลักพรากและจากกันในที่สุด... คุณน้าท่านนั้น ติดตามเรื่องราว และท่านเล่าให้พ่อฟังว่า..
o “คุณน้าเองก็เคยผ่านประสบการณ์การสูญเสียคนรักที่สุดคือสามี... เขาจากไปหลายปีแล้วด้วยความเจ็บป่วยและโรคร้าย ที่คุณน้าต้องดูแลแรมปีในต่างแดน.. และที่สุดก็จากไป... คุณน้าบอกพ่อว่า “ท่านเข้าใจพ่อและรู้ว่าการจากกัน การสูญเสียยังคงอยู่ในใจและเป็นความเจ็บปวด คิดถึง และเสียใจจนทุกวันนี้”
o ในบัดดลนั้น พ่อได้อ่านสิ่งที่ท่านเขียนเล่ามาทงเฟสบุค... พ่อก็เขียนตอบทันที “คุณน้าคับ สิ่งที่ยังคงอยู่ในหัวใจ ที่เรียกว่าความเศร้าโศก หรือความเจ็บปวดนั้น.. อันที่จริง มันคือ “ความรัก” ครับ แสดงว่า คุณน้ายังคงรักอยู่เสมอ คิดถึงเสมอ และเหตุผลที่ทำให้คิดถึง ยังคงเศร้า ระลึกถึงและคิดถึง เหตุผลนั้นคือ “ความรัก” จริงๆครับ”
o พ่อเขียนแล้วพ่อก็ทวนจริงๆว่า ใช่ “ความรัก” ทำให้เราคนเราอเศร้าโศก คิดถึงและอาลัย ความรักที่ดำรงอยู่ในใจ ความรักต่อกันตลอดไป คือ จุดเริ่มต้นและปลายทางของความคิดถึงและความเศร้าโศกหรือเจ็บปวด เป็นความรักที่ทำให้ความเจ็บปวดนั้นมีเหตุผลและยังคงเป็นเหตุผลและความทรงจำ ที่แสนดีตลอดไป...
o พ่อไม่แปลกใจเลยที่ความตายของพระเยซูเจ้าบนกางเขน เป็นความทรงจำที่เราต้องระลึกถึงตลอดไป เป็นความทรงจำที่พระองค์ตรัส “จงทำการนี้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเรา” คือ การบิปัง และมอบกาลิกส์ ซึ่งหมายถึงการมอบชีวิต... ความรักคือการมอบชีวิตเช่นนี้นี่เองครับ พ่อหมดความสงสัย และหายจากกังวลจริง พระเยซูเจ้าตรัสถูกต้องที่สุด... “ความทุกข์ของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี” เพราะมันเป็นความทุกข์ที่มาจากความรักจริงๆ บนไม้กางเขน คือ “ความรัก”
• นี่จึงเป็นหลักการและคำสอนของเราตลอดไป....
o “ท่านจะเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกของท่านจะเปลี่ยนเป็นความยินดี”
o “บัดนี้ท่านมีความทุกข์ แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะยินดี ไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้”
• พ่อเคยคิดเสมอว่า ศาสนาของเราอะไรๆก็กล่าวถึงความทุกข์ การยอมเพราะรัก การอุทิศตนเอง การเสียสละ การร่วมทุกข์ การที่เร้าต้องยอเป็นฝ่ายแพ้ หรือเรียกว่าถูกตบแก้มขวาก็ต้องยื่นแก้ซ้ายให้อีก แก้แค้นก็ไม่ได้ ยอมเขาเรื่อยไป ถูกกดขี่ก็ต้องยอม... พ่อเคยคิดว่า “ศาสนาของเราเป็นศาสนาของคนขี้แพ้กระนั้นหรือ....” นอกนั้นเคยมีเด็กถามพ่อว่า “ทำไมเราต้องสวดให้เราไม่แพ้การประจญทดลอง ทำไม่เราไม่ขอให้เราชนะและทำลายการประจญให้มันแหลกไปเลย” เราต้องยอมเสมอกระนั้นหรือ....
o หลังจากที่ได้ไตร่ตรองพระวาจา หลังจากที่พ่อได้ตระหนักในคำสอนของพระเยซู และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แบบอย่างบนไม้กางเขน พระธรรมล้ำลึกแห่งความรัก”
o หลังจากได้ยินประสบการณ์มากมายของคนรัก คู่รักคู่ชีวิต นักบวชที่เป็นเหมือนนักบุญ ยอมได้เสมอง..
o พ่อได้คำตอบที่พ่อเองรู้ว่า นี่คือทางของเรา คือ หนทางของพระเยซู คือ “หนทางแห่งความรัก” สิ่งที่เราระทมรับนั้นไม่ไดจำนน แต่เป็นความรักลึกซึ้งจากภายในที่ทำให้เราอ่อนโยนและยอมเปลี่ยนความทุกข์ นั้นให้เป็นคุณค่าของความรักแท้ต่างหาก เราไม่ได้แพ้ แต่เราน้อมรับด้วยความรักต่างหากครับ....
o “ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน บัดนี้ท่านมีความทุกข์ แต่เราจะเห็นท่านอีก และใจของท่านจะยินดีไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้”
• พี่น้องที่รัก... พ่อเชื่อในคำตอบของพระวาจา และคำตอบของพระเยซูเจ้าครับ... การได้มีพระเยซู พระเจ้าองค์ความรัก เป็นคำตอบที่สุดของที่สุด... คือ คำตอบที่เพียงพอจริงๆ มีพระองค์ เรไม่ขาดสิ่งใด... พระองค์คือคำตอบ การสิ้นพระชนม์บนกางเขนคือคำตอบของความรักที่สุดครับ พ่อจึงขอให้เรามั่นคงในความรักของพระเจ้าที่สุดนะครับ...
• ขอพระเจ้าอวยพรเสมอ จงเปลี่ยนความทุกข์ทุกวันที่เป็นธรรมชาติให้เป็นความรักตลอดไปครับ