แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ สมโภชพระจิตเจ้า

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 15:26-27; 16:12-15)                                     

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อพระผู้ช่วยเหลือซึ่งเราจะส่งมาจากพระบิดา จะเสด็จมา คือพระจิตแห่งความจริง ผู้ทรงเนื่องมาจากพระบิดา พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา ท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานให้เราด้วย เพราะท่านอยู่กับเรามาตั้งแต่แรกแล้ว

“เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย ดังนั้น เราจึงบอกว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา” 


ยน 15:26 พระศาสนจักรคาทอลิกสอนว่า พระจิตเจ้าทรงสืบเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร บทยืนยันความเชื่อแห่งนิเชอาที่ใช้ภาวนาในพิธีบูชาขอบพระคุณนั้นยืนยันถึงความเชื่อว่า การปฏิสนธิของพระคริสตเจ้าในครรภ์ของพระนางพรหมจารีมารีย์นั้นบังเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า งานของพระจิตเจ้าส่องสว่างแก่จิตใจเพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งในคำสอนของพระคริสตเจ้า และมอบพละกำลังให้แก่น้ำใจเพื่อการดำเนินชีวิตตามคำสอนเหล่านั้น

พระจิตเจ้าทรงเปิดเผยพระบิดาและพระบุตร

CCC ข้อ 244 จุดเริ่มนิรันดรของพระจิตเจ้าได้รับการเปิดเผยจากการที่พระองค์ท่านถูกส่งมาในกาลเวลา พระบิดาทรงส่งพระจิตเจ้ามายังบรรดาอัครสาวกและพระศาสนจักรในพระนามของพระบุตรและจากองค์พระบุตรโดยตรงหลังจากที่พระบุตรเสด็จกลับไปหาพระบิดาแล้ว การส่งพระบุคคลของพระจิตเจ้าลงมาหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แล้วเป็นการเปิดเผยพระธรรมล้ำลึกเรื่องพระตรีเอกภาพโดยสมบูรณ์

CCC ข้อ 245 ความเชื่อที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยอัครสาวกเกี่ยวกับพระจิตเจ้าได้รับการประกาศเป็นทางการในสภาสังคายนาสากลครั้งที่ 2 ที่นครคอนสแตนติโนเปิลเมื่อปี ค.ศ. 381 ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายยังเชื่อในพระจิต องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้บันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดา” โดยวิธีนี้ พระศาสนจักรยอมรับว่าพระบิดาทรงเป็น “บ่อเกิดและที่มาของพระเทวภาพทั้งหมด” ถึงกระนั้น จุดเริ่มนิรันดรของพระจิตเจ้าก็มิใช่จะไม่มีความสัมพันธ์กับพระบุตร “ข้าพเจ้าทั้งหลายยังเชื่อว่าพระจิตเจ้าซึ่งเป็นพระบุคคลที่สามในพระตรีเอกภาพ เป็นหนึ่งเดียวและเท่ากับพระเจ้าพระบิดาและพระบุตร ทรงมีพระสภาวะหนึ่งเดียวและพระธรรมชาติหนึ่งเดียว [...]ซึ่งไม่เป็นของพระบิดาและพระบุตรเท่านั้น แต่กล่าวได้ว่าเป็นพระจิตพร้อมกันทั้งของพระบิดาและพระบุตร” สูตรยืนยันความเชื่อของพระศาสนจักรของสภาสังคายนาที่นครคอนสแตนติโนเปิลก็ประกาศว่า “พระองค์ (คือพระจิตเจ้า) ทรงรับการถวายสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร”

CCC ข้อ 246 ธรรมประเพณีสูตรยืนยันความเชื่อในภาษาละตินประกาศว่าพระจิตเจ้าทรงเนื่องมา “จากพระบิดาและพระบุตร” (“a Patre Filioque”) สภาสังคายนาที่เมืองฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1438 อธิบายว่า “พระจิตเจ้า [...] ทรงมีสารัตถะและความเป็นอยู่จากพระบิดาและพร้อมกับจากพระบุตรด้วย (พระจิตเจ้า) ทรงเนื่องมาจากทั้งสองพระบุคคลพร้อมกันตั้งแต่นิรันดรประหนึ่งว่ามาจากจุดเริ่มแรกและด้วยการระบายลมปราณเดียวกัน [...] และเนื่องจากว่าพระบิดาเองประทานทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาเองแก่พระบุตรเมื่อทรงให้กำเนิดแก่พระบุตรเว้นแต่ความเป็นพระบิดา การที่พระจิตสืบเนื่องมาจากพระบุตร พระบุตรก็ทรงมีตั้งแต่นิรันดรจากพระบิดาผู้ให้กำเนิดแก่พระองค์ (คือพระบุตร) ตั้งแต่นิรันดรด้วย”

CCC ข้อ 247  การประกาศว่า “และพระบุตร” (Filioque) ไม่ได้มีอยู่ในสูตรยืนยันความเชื่อซึ่งประกาศที่นครคอนสแตนติโนเปิลเมื่อปี ค.ศ. 381 แต่พระสันตะปาปานักบุญเลโอซึ่งทรงรักษาธรรมประเพณีโบราณของพระศาสนจักรละตินและอเล็กซานเดรีย ได้ประกาศวลีนี้เป็นข้อความเชื่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 447 แล้ว ก่อนที่กรุงโรมจะรู้และยอมรับสูตรยืนยันความเชื่อของปี ค.ศ. 381 นี้ในสภาสังคายนาที่เมืองคัลเชโดนเมื่อปี ค.ศ. 451 เสียด้วย การใช้วลีนี้ (“และพระบุตร” หรือ “Filioque”) ในสูตรยืนยันความเชื่อค่อยๆ (ระหว่างช่วงเวลาศตวรรษที่ 8 ถึง 11) เป็นที่ยอมรับเข้ามาในพิธีกรรมภาษาละติน ถึงกระนั้น การที่พิธีกรรมในภาษาละตินนำวลี “และพระบุตร” (หรือ “Filioque”) เข้ามาในสูตรยืนยันความเชื่อของสภาสังคายนานีเชอา-คอนสแตนติโนเปิลก็ยังคงเป็นข้อโต้แย้งกันกับพระศาสนจักรออร์โธดอกซ์มาจนถึงทุกวันนี้

CCC ข้อ 248 ธรรมประเพณีทางตะวันออกเน้นเป็นพิเศษถึงลักษณะของพระบิดาในฐานะที่ทรงเป็นบ่อเกิดแรกที่เกี่ยวกับพระจิตเจ้า เมื่อประกาศว่าพระจิตเจ้า “ทรงเนื่องมาจากพระบิดา” (ยน 15:26) ก็ประกาศว่าพระองค์ทรงเนื่องมาจากพระบิดาผ่านทางพระบุตร ส่วนธรรมประเพณีทางตะวันตกยืนยันเป็นพิเศษถึงความสัมพันธ์ร่วมพระธรรมชาติเดียวกันของพระบิดากับพระบุตร ดังนั้นจึงกล่าวว่าพระจิตเจ้าทรงสืบเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร การกล่าวเช่นนี้ “เป็นการถูกต้องสมเหตุสมผล” เพราะลำดับแต่นิรันดรของพระบุคคลของพระเจ้าหมายความว่าพระบิดาในฐานะที่ทรงเป็น “จุดเริ่มต้นที่ไม่มีจุดเริ่มต้น” (principium sine principio) ทรงเป็นบ่อเกิดแรกของพระจิตเจ้า แต่ในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดาของพระบุตรเพียงพระองค์เดียว จึงทรงเป็นจุดเริ่มต้นเพียงจุดเดียวพร้อมกับพระบุตรที่พระจิตเจ้าทรงเนื่องมาจากนั้น “ดังจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน” ด้วย ลักษณะเสริมกันและกันที่ถูกต้องไม่มีอะไรขัดข้องนี้ ถ้าเราไม่เรียกร้องเคร่งครัดเกินไป ย่อมไม่มีผลกระทบต่อความเชื่อซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ประกาศพระธรรมล้ำลึกเดียวกัน


ยน 15:27 คริสตชนฆราวาสมีส่วนร่วมในสมณภาพของพระคริสตเจ้าโดยทางศีลล้างบาป พวกเขาได้รับการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะเป็น “สงฆ์ ประกาศก และกษัตริย์” โดยอาศัยความเป็นสงฆ์ทั่วไปของผู้มีความเชื่อ (แตกต่างจากศาสนบริกรแห่งสงฆ์) บรรดาคริสตชนฆราวาสเป็นประจักษ์พยานถึงพระคริสตเจ้าโดยอาศัยความเชื่อ คุณธรรม และแบบอย่างของพวกเขาต่อผู้อื่น

พันธกิจของฆราวาส

CCC ข้อ 941 บรรดาฆราวาสมีส่วนร่วมพระสมณภาพของพระคริสตเจ้า รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น แผ่ขยายพระหรรษทานของศีลล้างบาปและศีลกำลังออกไปในทุกมิติของชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว สังคม และชีวิตของพระศาสนจักร และดังนี้จึงทำให้กระแสเรียกให้ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปต้องบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นจริงขึ้นมา

CCC ข้อ 942 เนื่องจากพันธกิจประกาศกของตน บรรดาฆราวาส “ยังได้รับเรียกให้เป็นพยานถึงพระคริสตเจ้าในทุกเรื่องในท่ามกลางสังคมมนุษย์ด้วย”

CCC ข้อ 943 เนื่องจากพันธกิจกษัตริย์ของตน บรรดาฆราวาสอาจขจัดอำนาจของบาปในตนเองและในโลกออกไปได้โดยการสละตนเองและโดยความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของตน


ยน 16:13  จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล : พระจิตเจ้าทรงส่องสว่างแก่พระศาสนจักรเพื่อให้สั่งสอนความจริงตามพระดำริของพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงนำทางพระศาสนจักรด้วยการรับประกันว่า คำสอนนั้นเป็นความจริงอย่างไม่มีผิดพลั้งเกี่ยวกับคลังแห่งความเชื่อทั้งหมด ซึ่งรวมถึงคำสอนในเรื่องข้อความเชื่อ ศีลศักดิ์สิทธิ์ เนื้อหาในพระคัมภีร์ที่ได้รับการดลใจ และหลักเกณฑ์ทางศีลธรรม  พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง : พระจิตเจ้าทรงช่วยเหลือคริสตชนทุกคนในการเข้าใจพระวาจาของพระเจ้าและในการติดตามพระองค์ด้วยความเชื่อและความจริง เรารับรู้ถึงการทำงานของพระจิตเจ้าได้อาศัยงานแห่งการทำให้ศักดิ์สิทธิ์และการดลใจของพระองค์ การเป็นประจักษ์พยานอย่างน่าประทับใจของบรรดานักบุญเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่แห่งการทำงานของพระจิตเจ้า

ความเข้าใจความเชื่อต้องเติบโตขึ้น

CCC ข้อ 95 “ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่า ตามแผนการอันเปี่ยมด้วยพระปรีชาของพระเจ้า ธรรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ พระคัมภีร์ และอำนาจสั่งสอนของพระศาสนจักร มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างที่ว่าแต่ละอย่างจะอยู่ไม่ได้โดยไม่อาศัยอีกสองอย่าง ทั้งสามสิ่งนี้ต่างส่งเสริมความรอดพ้นของวิญญาณอย่างสัมฤทธิ์ผลตามวิธีการของตนโดยร่วมกับการกระทำของพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน”

“ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิตเจ้า”

CCC ข้อ 687 “ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความคิดของพระเจ้า นอกจากพระจิตของพระเจ้า” (1 คร 2:11) บัดนี้พระจิตผู้ทรงเปิดเผยพระเจ้า ทรงเปิดเผยให้เรารู้จักพระคริสตเจ้า พระวจนาตถ์ทรงชีวิตของพระองค์ แต่มิได้ทรงสำแดงพระองค์เอง “พระองค์ตรัสทางประกาศก” ทรงบันดาลให้เราได้ยินพระวจนาตถ์ (หรือ “พระวาจา”) ของพระบิดา แต่เราไม่ได้ยินองค์พระจิตเจ้า เรารู้จักพระองค์เพียงในความเคลื่อนไหวที่ทรงใช้เพื่อเปิดเผยพระวจนาตถ์แก่เรา และเตรียมเราไว้เพื่อรับพระวจนาตถ์ด้วยความเชื่อ พระจิตแห่งความจริงผู้ “ทรงเปิดเผย” พระคริสตเจ้าแก่เรา ไม่ตรัสโดยพระองค์เองการที่ทรงปิดบังพระเทวภาพของพระองค์เช่นนี้อธิบายให้เข้าใจว่าทำไม “โลกจึงรับพระองค์ไว้ไม่ได้ เพราะไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์” แต่ผู้ที่เชื่อในพระคริสตเจ้านั้นรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่กับเขา (ยน 14:17)

ศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร

CCC ข้อ 1117 พระศาสนจักรซึ่งพระจิตเจ้า “ทรงนำไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน 16:13) ค่อยๆ รู้จักขุมทรัพย์นี้ที่ตนได้รับจากพระคริสตเจ้า และกำหนด “วิธีการแจกจ่าย” ขุมทรัพย์นี้เหมือนกับที่เคยทำเกี่ยวกับสารบบพระคัมภีร์และคำสั่งสอนความเชื่อเป็นเสมือนผู้จัดการดูแลพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ดังนี้ ตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา พระศาสนจักรจึงได้กำหนดไว้ในการประกอบพิธีกรรมของตนว่าศีลศักดิ์สิทธิ์ในความหมายเฉพาะของคำนี้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งไว้นั้นมีจำนวนเจ็ดศีลด้วยกัน

ชีวิตศีลธรรมและอำนาจสั่งสอนของพระศาสนจักร

CCC ข้อ 2034 สมเด็จพระสันตะปาปาและบรรดาพระสังฆราช ในฐานะ “ผู้สอนทางการหรือได้รับมอบหมายอำนาจของพระคริสตเจ้า […] ย่อมเทศน์สอนประชากรที่พระเจ้าทรงมอบไว้ให้ปกครองดูแลรู้จักความเชื่อที่ได้รับมอบไว้ให้เชื่อและนำไปปฏิบัติใช้ในการดำเนินชีวิต” อำนาจสอนสามัญและครอบคลุมทั่วพระศาสนจักรของสมเด็จพระสันตะปาปาและพระสังฆราชที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ย่อมสอนบรรดาผู้มีความเชื่อถึงความจริงที่ต้องเชื่อ ความรักที่ต้องปฏิบัติ และความสุขแท้ที่ต้องหวัง

CCC ข้อ 2035 การมีส่วนในพระอำนาจของพระคริสตเจ้าขั้นสูงสุดมีประกันจากพระพรพิเศษของการไม่รู้จักหลงผิด (infallibilitas) การไม่รู้จักหลงผิดนี้ “ครอบคลุมไปถึงขุมทรัพย์ความจริงเท่าที่พระเจ้าทรงเปิดเผย” และยังขยายไปถึงองค์ประกอบทุกประการของคำสอนด้วย รวมทั้งคำสอนเรื่องศีลธรรม ซึ่งถ้าไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้แล้ว เราก็ไม่อาจรักษาไว้ อธิบาย หรือปฏิบัติตามได้

ดำเนินชีวิตในความจริง

CCC ข้อ 2466 ความจริงของพระเจ้าปรากฏชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริงทรงเป็น “แสงสว่างส่องโลก” (ยน 8:12) พระองค์ทรงเป็นความจริง ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ไม่อยู่ในความมืด ศิษย์ของพระเยซูเจ้ายึดมั่นในพระวาจาของพระองค์เพื่อจะรู้ความจริงซึ่งจะช่วยให้เป็นอิสระและบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์ การติดตามพระเยซูเจ้าเป็นการดำเนินชีวิตเดชะพระจิตเจ้าแห่งความจริงที่พระบิดาทรงส่งมาในพระนามของพระองค์ผู้ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน 16:13) พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้รักความจริงโดยไม่มีเงื่อนไข “ท่านจงกล่าวเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’” (มธ 5:37)

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)