วันเสาร์ สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา
พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว (มธ 13:24-30)
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลีแล้วจากไป เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน’”
มธ 13:24-43 ข้าวละมานในอุปมาเรื่องนี้ทำให้คิดถึงคนทำชั่วที่ไม่สำนึกผิดและปฏิเสธการกลับใจ ท้ายที่สุดก็ต้องถูกกำจัดออกไปและถูกตัดสินลงโทษ อย่างไรก็ตามข้าวละมานยังอาจเปรียบได้กับความไม่สมบูรณ์ของเราเองด้วย เนื่องจากพระศาสนจักรประกอบด้วยคนบาปมากมาย ที่ถูกเรียกให้ต่อสู้กับความโน้มเอียงของบาปเพื่อมุ่งสู่การดำเนินชีวิตแห่งคุณธรรม พวกเขาอยู่ในหนทางแห่งความรอดพ้นและความศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ยังไม่บรรลุถึง นอกนั้นในอุปมานี้ ข้าวละมานแห่งความบาปและข้าวสาลีแห่งความศักดิ์สิทธิ์จะคละกันอยู่ในตัวเราแต่ละคนจนกระทั่งสิ้นพิภพ ความซื่อสัตย์ของเราในการรับฟังและเก็บรักษาพระวาจาของพระเจ้านั้นแสดงออกด้วยความปรารถนาและความกระตือรือร้นของเราในการสร้างมิตรภาพอันใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้าและในการซื่อสัตย์ต่อคำสอนของพระองค์
พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์
CCC ข้อ 827 “พระคริสตเจ้า ‘ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทิน ไม่เปื้อนหมอง’ ไม่ทรงรู้จักบาป แต่เสด็จมาเพื่อชดเชยความผิดของประชากร พระศาสนจักรซึ่งโอบอุ้มคนบาปไว้ในอ้อมอก ก็ศักดิ์สิทธิ์และต้องชำระตนให้บริสุทธิ์อยู่เสมอพร้อมกันไปด้วย จึงดำเนินในหนทางการกลับใจและปรับปรุงตนอยู่เสมอ” สมาชิกทุกคนของพระศาสนจักร รวมทั้งศาสนบริกรด้วย จึงต้องยอมรับว่าตนเป็นคนบาป ในทุกคนล้วนยังมีบาปซึ่งเป็นเสมือนข้าวละมานปะปนอยู่กับเมล็ดข้าวที่ดีคือพระวรสารตลอดไปจนสิ้นพิภพ พระศาสนจักรจึงรวมคนบาปที่ถูกความรอดพ้นของพระคริสตเจ้าจับตัวไว้แล้ว แต่ยังดำเนินอยู่ในหนทางไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์
พระศาสนจักร “จึงศักดิ์สิทธิ์ แม้ยังโอบอุ้มคนบาปไว้ในอ้อมอกของตน เพราะพระศาสนจักรเองก็ยังไม่มีชีวิตอื่นนอกจากชีวิตของพระหรรษทาน ซึ่งถ้าสมาชิกของพระศาสนจักรรับการหล่อเลี้ยงจากพระหรรษทานนี้ก็มีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าปลีกตนออกไปจากพระหรรษทานนี้ เขาก็ตกในบาปและมีวิญญาณที่แปดเปื้อนซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ความศักดิ์สิทธิ์ฉายแสงสว่างของตนได้ ดังนั้น พระศาสนจักรจึงมีความทุกข์และชดเชยความผิดเหล่านี้ที่พระศาสนจักรมีอำนาจช่วยบุตรของตนให้พ้นจากบาปเหล่านี้อาศัยพระโลหิตของพระคริสตเจ้าและพระพรของพระจิตเจ้า”
(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)