วันศุกร์ สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลปัสกา
พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 14:1-6)
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านรู้จักหนทางแล้ว” โทมัสทูลว่า “พระเจ้าข้า พวกเราไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด แล้วจะรู้จักหนทางได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา”
ยน 14:1-14 ถึงแม้ว่าบรรดาศิษย์จะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่พระคริสตเจ้าทรงมอบความหวังและความบรรเทาแก่พวกเขาเมื่อต้องเผชิญกับความขลาด ความกลัว ความไม่ซื่อสัตย์และความท้อแท้ ในเวลาที่พระองค์ถูกจับ ถูกทดลอง และถูกตรึงกางเขน พระคริสตเจ้าทรงจากพวกเขาไปเพราะพระองค์ต้องกลับไปหาพระบิดา แต่บรรดาสัตบุรุษของพระองค์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์โดยอาศัยพระหรรษทานและการได้แลเห็นพระองค์โดยตรงในสวรรค์
เชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้า
CCC ข้อ 151 สำหรับคริสตชน การเชื่อในพระเจ้าแยกกันไม่ได้กับการเชื่อในผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา นั่นคือในพระบุตรสุดที่รักซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ พระเจ้าทรงบอกเราให้ฟังองค์พระบุตร องค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย” (ยน 14:1) เราอาจเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าได้เพราะทรงเป็นพระเจ้าด้วย ทรงเป็นพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับสภาพมนุษย์ “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรเพียงพระองค์เดียวผู้สถิตในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้” (ยน 1:18) เพราะพระองค์ “ทรงเห็นพระบิดา” (ยน 6:46) ทรงเป็นพระองค์เดียวที่ทรงรู้จักพระบิดาและเปิดเผยพระบิดาได้”
ยน 14:2 ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย : พระคริสตเจ้าตรัสถึงสวรรค์ เป็นสภาวะซึ่งผู้มีความเชื่อจะพำนักกับพระเจ้าตลอดไปในฐานะสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ เราไม่สามารถบรรลุถึงสภาวะนี้ได้ด้วยความเพียรพยายามประสามนุษย์เท่านั้น แต่ยังต้องการพระหรรษทานแห่งการไถ่กู้ของพระคริสตเจ้าด้วย พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นสามารถนำเราไปสู่บ้านแท้นิรันดรได้ ในสวรรค์แต่ละคนจะได้รับบำเหน็จตามกิจการดีของตน ซึ่งได้กระทำโดยอาศัยความร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเจ้า
“พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ”
CCC ข้อ 661 ก้าวสุดท้าย (ของพระคริสตเจ้า) นี้จึงสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับก้าวแรก คือการเสด็จลงมาจากสวรรค์ซึ่งสำเร็จเป็นจริงในการรับสภาพมนุษย์ ผู้ที่ “มาจากพระบิดา” เท่านั้น สามารถ “กลับไปเฝ้าพระบิดา” ได้อีก คือพระคริสตเจ้า “ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรแห่งมนุษย์เท่านั้น” (ยน 3:13) ธรรมชาติมนุษย์ โดยพลังตามธรรมชาติของตนเอง ไม่อาจเข้าถึง “บ้านของพระบิดา” ไม่อาจเข้าถึงชีวิตและความสุขของพระเจ้าได้ พระคริสตเจ้าเท่านั้นอาจเปิดทางเข้านี้ให้แก่มนุษย์ได้ “เมื่อพระองค์ท่านผู้ทรงเป็นศีรษะและบุตรคนแรกเสด็จสู่สวรรค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้เป็นส่วนประกอบอื่นๆ แห่งพระวรกาย ก็จะติดตามไปรับความรุ่งเรืองที่นั่นดุจเดียวกัน”
สวรรค์
CCC ข้อ 1025 มีชีวิตอยู่ในสวรรค์ก็คือ “อยู่กับพระคริสตเจ้า” บรรดาผู้รับเลือกสรรมีชีวิตอยู่ “ในพระองค์” แต่ที่นั่นก็ยังรักษา ยิ่งกว่านั้นยังพบอัตลักษณ์เฉพาะของตน นามเฉพาะของตนด้วย “เพราะชีวิตก็คือการอยู่กับพระคริสตเจ้า เพราะพระคริสตเจ้าทรงอยู่ที่ใด พระอาณาจักรก็อยู่ที่นั่น”
“พระองค์สถิตในสวรรค์”
CCC ข้อ 2795 สัญลักษณ์ของสวรรค์ชวนให้เราหันไปคิดถึงพระธรรมล้ำลึกเรื่องพันธสัญญาที่เราดำเนินชีวิตอยู่เมื่อเราอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาของเรา พระองค์สถิตในสวรรค์ ที่ประทับของพระองค์ บ้านของพระบิดาจึงเป็น “บ้านเกิดเมืองนอน” ของเรา บาปทำให้เราถูกเนรเทศจากแผ่นดินแห่งพันธสัญญา และการกลับใจทำให้เรากลับไปหาพระบิดา กลับไปสวรรค์ ดังนั้นสวรรค์และแผ่นดินจึงคืนดีกันในพระคริสตเจ้า เพราะพระบุตร “ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์” เพียงพระองค์เดียว และพระองค์ทรงบันดาลให้เราไปสวรรค์พร้อมกับพระองค์ อาศัยไม้กางเขน การกลับคืนพระชนมชีพ และการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์
ยน 14:5-6 เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต : เพื่อตอบคำถามของโธมัส พระคริสตเจ้าทรงย้ำเตือนพวกเขาว่า หนทางสู่พระบิดาคือการรู้จักพระคริสตเจ้าและดำเนินชีวิตตามคำสอนและแบบอย่างของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นหนทาง -เพียงหนทางเดียว- เพราะพระองค์ทรงเป็นการเปิดเผยแห่งความรักของพระบิดา และทรงเปิดเผยถึงพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์สำหรับทุกคน บรรดาผู้ติดตามพระคริสตเจ้าสามารถบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์และชีวิตนิรันดรด้วยการน้อมรับคำสอนของพระองค์ โดยสรุปก็คือ พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นความหมายของชีวิตมนุษย์
การถ่ายทอดความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผย
CCC ข้อ 74 พระเจ้า “มีพระประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดพ้นและรู้ความจริงที่สมบูรณ์” (1 ทธ 2:4) นั่นคือพระเยซูคริสตเจ้า ดังนั้น พระคริสตเจ้าจึงต้องได้รับการประกาศแก่ประชากรทุกชาติและมนุษย์ทุกคน และดังนี้การเปิดเผยก็จะไปถึงสุดปลายแผ่นดิน “ความจริงที่พระเจ้าทรงเผยให้รู้เพื่อความรอดของนานาชาตินั้นจะต้องคงอยู่เสมอไปอย่างครบถ้วน และจะต้องถ่ายทอดให้แก่ชนรุ่นหลังสืบต่อกันไปทุกอายุขัย”
ทำไมพระวจนาตถ์จึงทรงรับสภาพมนุษย์
CCC ข้อ 459 พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์เพื่อทรงเป็นตัวอย่างความศักดิ์สิทธิ์ให้เรา “จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา...” (มธ 11:29) “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” (ยน 14:6) พระบิดาทรงบัญชาเมื่อพระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์บนภูเขาว่า “จงฟังท่านเถิด” (มก 9:7) พระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวอย่างความสุขแท้และแนวปฏิบัติของบัญญัติใหม่ “ท่านทั้งหลายจงรักกันเหมือนดังที่เรารักท่าน” (ยน 15 :12) ความรักนี้รวมถึงการถวายตัวเราตามแบบฉบับของพระองค์
การดำเนินชีวิตในพระคริสตเจ้า
CCC ข้อ 1698 จุดอ้างอิงแรกและสุดท้ายของการสอนคำสอนเช่นนี้จะต้องเป็นพระเยซูคริสตเจ้าเองเสมอ พระองค์ทรงเป็น “หนทาง ความจริงและชีวิต” (ยน 14:6) ถ้าคริสตชนผู้มีความเชื่อหันมองดูพระองค์ด้วยความเชื่อ ย่อมอาจหวังได้ว่าพระองค์จะทรงทำให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จไปในตัวเขา และถ้าเขารักพระองค์ด้วยความรักที่พระองค์ทรงรักเขา เขาก็จะปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับศักดิ์ศรีของตน
“ข้าพเจ้าวอนขอท่านให้คิดว่า […] พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงเป็นศีรษะแท้จริงของท่าน และท่านเป็นส่วนหนึ่งของพระวรกายของพระองค์ […] พระองค์ทรงเป็นกับท่านเสมือนส่วนต่างๆ ของร่างกายกับศีรษะ ทุกสิ่งของพระองค์ก็เป็นของท่าน จิต ดวงใจ ร่างกาย วิญญาณและความสามารถต่างๆ […] ทุกอย่างที่ท่านต้องใช้เหมือนกับว่าเป็นของท่านเองเพื่อรับใช้พระเจ้า สรรเสริญ รักพระองค์ และถวายพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระองค์ สำหรับพระองค์ ท่านเป็นเสมือนส่วนของร่างกายสำหรับศีรษะ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะใช้ความสามารถทั้งหลายของท่านเหมือนกับว่าเป็นของพระองค์เพื่อทรงรับใช้พระบิดาของพระองค์และถวายพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระบิดา” “ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสตเจ้า” (ฟป 1:21)
ดำเนินชีวิตในความจริง
CCC ข้อ 2466 ความจริงของพระเจ้าปรากฏชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริงทรงเป็น “แสงสว่างส่องโลก” (ยน 8:12) พระองค์ทรงเป็นความจริง ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ไม่อยู่ในความมืด ศิษย์ของพระเยซูเจ้ายึดมั่นในพระวาจาของพระองค์เพื่อจะรู้ความจริงซึ่งจะช่วยให้เป็นอิสระและบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์ การติดตามพระเยซูเจ้าเป็นการดำเนินชีวิตเดชะพระจิตเจ้าแห่งความจริงที่พระบิดาทรงส่งมาในพระนามของพระองค์ผู้ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน 16:13) พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้รักความจริงโดยไม่มีเงื่อนไข “ท่านจงกล่าวเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’” (มธ 5:37)
พระเยซูเจ้าทรงสอนให้อธิษฐานภาวนา
CCC ข้อ 2614 เมื่อทรงมอบพระธรรมล้ำลึกของการอธิษฐานภาวนาถึงพระบิดาให้แก่บรรดาศิษย์อย่างเปิดเผยแล้ว พระองค์ยังทรงเปิดเผยให้เขารู้ด้วยว่าการอธิษฐานภาวนาของเขาและของเราจะต้องเป็นอย่างไรด้วยเมื่อพระองค์จะทรงกลับไปเฝ้าพระบิดาพร้อมกับพระธรรมชาติมนุษย์ที่รุ่งโรจน์ของพระองค์แล้ว บัดนี้ อะไรใหม่ก็คือ “การขอในพระนามของพระองค์” ความเชื่อในพระองค์นำบรรดาศิษย์ให้รู้จักพระบิดา เพราะพระเยซูเจ้าทรงเป็น “หนทาง ความจริง และชีวิต” (ยน 14:6) ความเชื่อเกิดผลของตนในความรัก หมายถึงการรักษาพระวาจาของพระองค์ พระบัญญัติของพระองค์ อยู่กับพระองค์ในพระบิดาผู้ทรงรักเราในพระองค์ จนกระทั่งมาประทับอยู่ในเรา ในพันธสัญญาใหม่นี้ ความแน่ใจว่าพระเจ้าจะทรงฟังคำวอนขอของเรานั้นมีฐานมั่นคงอยู่บนการอธิษฐานภาวนาของพระเยซูเจ้า
(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)