767 “เมื่องานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้พระบุตรทรงปฏิบัติในโลกนี้สำเร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงส่งพระจิตเจ้าลงมาในวันเปนเตกอสเตเพื่อทรงบันดาลให้พระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ตลอดไป” ตั้งแต่เวลานั้น “พระศาสนจักรจึงแสดงตนอย่างเปิดเผยต่อประชาชน และการประกาศข่าวดีโดยการเทศน์สอนในหมู่นานาชาติจึงได้เริ่มขึ้น” เพราะพระศาสนจักรโดยธรรมชาติเป็น “การเรียกมวลมนุษย์มารวมกัน” เพื่อรับความรอดพ้น จึงถูกพระคริสตเจ้าทรงส่งไปพบชนทุกชาติเพื่อนำมนุษย์จากชนชาติเหล่านั้นมาเป็นศิษย์ของพระองค์
768 พระจิตเจ้า “ประทานพรที่มีระเบียบตามฐานันดรและพระพรพิเศษหลายหลากเพื่ออบรมสั่งสอนและนำพระศาสนจักร” เพื่อให้พระศาสนจักรปฏิบัติพันธกิจของตนได้ “ดังนั้น พระศาสนจักรซึ่งได้รับพระพรจากพระ (คริสตเจ้า)ผู้ก่อตั้ง และปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์ตามบทบัญญัติความรัก ความถ่อมตน และอุทิศตน จึงรับพันธกิจที่จะประกาศพระอาณาจักรของพระคริสตเจ้าและของพระเจ้า และสถาปนาพระอาณาจักรนี้ขึ้นในชนทุกชาติ ทำให้เมล็ดพันธุ์และจุดเริ่มต้นของพระอาณาจักรนี้เกิดขึ้นในโลก”
788 เมื่อพระเยซูเจ้าไม่ทรงอยู่กับบรรดาศิษย์อย่างที่เราแลเห็นได้แล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเขาให้เป็นกำพร้า พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงอยู่กับเขาตราบจนสิ้นพิภพ ทรงส่งพระจิตของพระองค์มาให้เขา ดังนี้ ความสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้าก็ยิ่งจะเข้มข้นยิ่งขึ้น “เมื่อประทานพระจิตของพระองค์แก่เขา พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งบรรดาพี่น้องที่ทรงเรียกมาจากนานาชาติ ให้เป็นเสมือนพระกายทิพย์ของพระองค์”
789 การเปรียบเทียบพระศาสนจักรกับพระกายเป็นเสมือนแสงสว่างที่ทำให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างพระศาสนจักรกับพระคริสตเจ้า พระศาสนจักรไม่เพียงแต่ถูกเรียกมาชุมนุมกันรอบๆ พระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นการรวบรวมกันในพระองค์ ในพระกายของพระองค์ เราควรย้ำเป็นพิเศษถึงเหตุผลสามประการที่ทำให้พระศาสนจักรเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า – นั่นคือ เอกภาพระหว่างกันของบรรดาสมาชิก และความสัมพันธ์ของเขากับพระคริสตเจ้า พระคริสตเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระกายทิพย์ คือพระศาสนจักรซึ่งเป็นเสมือนเจ้าสาวของพระคริสตเจ้า