กลับคืนสู่พระเจ้า
บางครั้งในช่วงเดือนธันวาคม เรารู้สึกถึงบรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาสที่ไร้ความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอย การจัดงานเลี้ยงฉลอง อาหารล้นหลาม ดื่มกินกันอย่างไม่อั้น และความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด เป็นเดือนที่มีความสุขอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่รู้สึกเครียด นี่ย่อมไม่ใช่แก่นแท้ของบรรยากาศเทศกาลคริสต์มาส เพราะการสร้างสันติสุขภายในที่แท้จริงในช่วงเทศกาลนี้ เป็นเรื่องการคิดไตร่ตรองหาความหมายที่แท้จริงของเทศกาล ขอแนะนำวิธีที่จะช่วยให้จิตใจเราพบสันติสุขในเทศกาลแห่งความสุขนี้
1. หาเวลาฟื้นฟูจิตใจ
เทศกาลพระคริสตสมภพ เป็นช่วงเวลาที่มีพลังและความหมายล้ำลึกที่ช่วยในการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ ให้เราแสวงหาความตั้งใจที่จะทำกิจการดีในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง เราควรกระหายหาประสบการณ์ทางจิตวิญญาณของเทศกาล มากกว่าการสะสมสิ่งของภายนอก บางครั้งเราอาจเบื่อหน่ายกับบรรยากาศของเทศกาลที่จบลงด้วยความรู้สึกตื่นเต้น แต่เหนื่อยล้า รู้สึกวุ่นวายโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ดังนั้น เราควรแสวงหาวิธีการต่างๆ เพื่อมอบสันติสุขให้ตนเองและครอบครัว แสวงหาความรักและความชื่นชมยินดีที่ลึกซึ้งกว่าความรู้สึกผิวเผิน และเข้าถึงแก่นแท้ความหมายของเทศกาล ด้วยการแสดงความรักที่ลุ่มลึกกว่าของกำนัลที่มอบให้แก่กัน ขอให้เทศกาลนี้เป็นเทศกาลแห่งการแสดงออกถึงความมีน้ำใจและการให้อภัย มีความเอื้ออาทรต่อผู้อยู่ใกล้ชิดเรามากที่สุด และให้เราเปิดใจแสดงความรักเป็นพิเศษต่อผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
2. เป็นเหมือนพระนางมารีย์
ให้เราพยายามเป็นเหมือนพระนางมารีย์ คือบำรุงเลี้ยงชีวิตจิตวิญญาณที่อยู่ภายในตัวเรา นักบุญเปาโลกล่าวว่า “พระคริสเจ้าทรงดำรงอยู่ในท่าน” (คส 1:27) จงใช้เทศกาลนี้ ให้องค์พระคริสต์เติบโตขึ้นในชีวิตของเรา พระสังฆราชฟุลตัน ชีน (Futon J. Sheen) เตือนสัตบุรุษว่า “จงทำตนยอมให้พระเจ้าทรงทำงานในวิญญาณของเรา เช่นเดียวกับพระนางมารีย์ คือยอมให้องค์พระคริสต์ทรงสร้างพระองค์ขึ้นในตัวเรา... เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างพระกายภายในร่างกายของพระนาง พระองค์ก็จะทรงสร้างจิตวิญญาณของพระองค์ในตัวเราเช่นกัน หากเราทราบว่าพระองค์ทอดพระเนตรผ่านทางนัตย์ตาของเรา เราก็ควรมองเพื่อนมนุษย์แต่ละคนในฐานะลูกของพระเจ้า หากเราทราบว่าพระองค์ทรงทำงานโดยผ่านทางมือของเรา เราก็ควรใช้มือของเรานำพระพรไปมอบให้ผู้อื่น หากเราทราบว่าพระองค์ทรงปรารถนาใช้สติปัญญา มือและหัวใจของเราทำกิจการต่างๆ เราก็คงกระทำกิจการนั้นด้วยวิธีที่แตกต่างไปจากที่เป็นอยู่มาก”
3. ให้ของกำนัลที่จับต้องไม่ได้
ให้เราคิดถึงของกำนัลที่จับต้องไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เพื่อจะได้รับของกำนัลในช่วงเทศกาลศักดิ์สิทธิ์นี้ เพียงแต่ขอให้เราให้บางสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งของที่ซื้อได้ด้วยเงินและทำได้ทุกวัน มีหลายวิธีที่เราทำได้ เช่น การไปเยี่ยมผู้โดดเดี่ยว ไม่มีคนดูแล เป็นอาสาสมัครทำงานให้วัดหรือสถานสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้ไร้ที่อยู่ หรือศูนย์สงเคราะห์ต่างๆ แทนที่เราจะร่วมงานฉลองภายนอกแต่เพียงผิวเผิน เราเลือกที่จะเจาะลึกลงไปในความเป็นมนุษย์ของเรา และแสดงความตั้งใจดีของเรา ในการกลับคืนสู่ความเรียบง่ายของเทศกาลศักดิ์สิทธิ์นี้
4. คิดปรับปรุงตนเอง
ขอให้เราคิดที่จะแก้ไขปรับปรุงตัวเองก่อน มิใช่แก้ไขคนอื่น เราไม่กระทำต่อผู้อื่นตามแรงกระตุ้น ไม่วิพากษ์วิจารณ์ โจมตี เหน็บแนม หรือตัดสินคนอื่น ฉะนั้นแทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือแข่งกับคนอื่น ให้เรา “แข่ง” กับตัวเอง และตั้งใจว่าวันนี้เราจะทำตัวดีกว่าเมื่อวานนี้ มีน้ำใจกับผู้อื่น ให้อภัย และตัดสินผู้อื่นน้อยลง
5. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
ช่วงเดือนธันวาคม ขอให้เราหาเวลานั่งเงียบๆ คิดหาเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณ มีคริสตชนคนหนึ่งเล่าว่า “เมื่อปีกลาย ผมอยากให้เทศกาลนี้มีความหมายมากกว่าที่ผ่านมา ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ผมใช้เวลาตอนค่ำคิดหาวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยให้เทศกาลนี้มีความหมายสำหรับจิตวิญญาณของผมมากขึ้น ผมจึงเขียนบันทึกถึงสิ่งที่ผมคิดไว้ดังนี้ สวดภาวนาอย่างน้อยวันละ 10 นาที ยิ้มให้ทุกคนที่พบ อ่านพระคัมภีร์หรือหนังสือที่มีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณทุกวัน เขียนขอบคุณทุกคนที่มีบุญคุณต่อผมในอดีต”
6. ฝึกการมีจิตเมตตา
ให้เราฝึกตนเองในการมองเห็นพระคริสต์ในผู้ยากไร้ นี่คือพระประสงค์ของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า “ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40) คนยากจนมีอยู่รอบตัวเรา แต่บ่อยครั้งเราไม่สังเกตเห็น หรือปฏิเสธที่จะมองเห็น สตรีคนหนึ่งขณะที่รีบเดินไปจับจ่ายซื้อของสำหรับการฉลองคริสต์มาสเล่าว่า ครั้งหนึ่งขณะเดินทางกลับจากห้างสรรพสินค้า เธอเห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวดีอย่างไม่มีที่ติเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าพร้อมกับเธอ เธอรู้สึกประหลาดใจเมื่อชายคนนั้นหยุดพูดกับหนุ่มจรจัด และจับมือเขาพร้อมกับส่งเงินจำนวนหนึ่ง เธอประทับใจมาก และพูดว่า “คิดดูสิ ฉันไม่อยากแม้แต่จะสบตากับหนุ่มจรจัดคนนั้น แต่สุภาพบุรุษผู้นี้ก้าวเดินออกไปต้อนรับเขา สัมผัสเขาและให้เงิน ทำให้ดิฉันเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการมีจิตเมตตา”
7. นำความชื่นชมยินดีมาสู่โลก
ในเทศกาลพระคริสตสมภพ ให้เรานำความรัก สันติสุข และความชื่นชมยินดีมาสู่โลก ให้เราปฏิบัติตามคำแนะนำของนักบุญออกัสตินที่ว่า “ความรักมีหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ หน้าตาของความรัก คือมือสองข้างที่ช่วยเหลือผู้อื่น เท้าสองข้างที่รีบก้าวไปถึงคนจนและคนขัดสน นัยน์ตาสองข้างที่มองเห็นความทุกข์ยากและความต้องการของผู้อื่น และหูสองข้างที่ได้ยินเสียงถอนใจและร่ำไห้ของผู้ทุกข์ทรมาน”
ที่มา: นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับที่ 198 เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2014