ศีลศักดิ์สิทธิ์คืออะไร
ความรักของพระเจ้าที่อภัยบาป และให้ชีวิตแก่มนุษย์มีอยู่ในพระเยซูผู้ทรงรับสภาพมนุษย์ ดังนั้น คนที่พบพระเยซูจึงพบความรักของพระเจ้า การทรงให้อภัยบาปของพระเยซูก็คือการทรงให้อภัยบาปของพระเจ้า เมื่อพระเยซูทรงใช้พระหัตถ์สัมผัสคนเจ็บป่วยหรือคนตาย คนเหล่านั้นก็ได้รับพลังที่ให้ชีวิตจากพระเจ้า สรุปก็คือ การได้พบพระเยซูของผู้คนในสมัยนั้นเป็นหมายสำคัญที่แสดงและนำพระคุณของพระเจ้ามาสู่พวกเขา และเป็นภาพของการรับพระคุณที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่หลังจากความตายและการกลับคืนชีพ พระเยซูเสด็จกลับไปหาพระบิดา เวลานี้จึงทรงอยู่กับเราในรูปแบบที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเพราะเราไม่เคยมีประสบการณ์ตรงในการกลับคืนชีพของพระองค์ จึงไม่สามารถรับรู้ถึงการทรงกลับคืนชีพด้วยประสาทสัมผัสทางตา หู หรือมือของเรา อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเราที่ต้องรับรู้และมีประสบการณ์ถึงความรักของพระเจ้า พระเยซูจึงทรงสถาปนาหนทางให้เราสามารถพบและมีประสบการณ์ในพระองค์ได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม
สรุปได้ว่า เวลานี้พระเยซูทรงยังคงพูดคุยกับเรา และทรงให้เรารู้สึกถึงการทรงมีตัวตนอยู่ของพระองค์โดยทางพระวาจาที่ได้ทรงมอบหมายไว้กับอัครสาวก ซึ่งพระศาสนจักรได้รับและสืบทอดต่อมา เราทั้งหลายจึงพบพระองค์ได้โดยพิธีที่ทรงสถาปนาไว้เป็นหัวใจของพระศาสนจักร ชาวคริสต์เรียกพิธีพิเศษนี้ว่า ศีลศักดิ์สิทธิ์ ในพระศาสนจักรคาทอลิกมีศีลศักดิ์สิทธิ์รวมทั้งสิ้น 7 ประการ ถือเป็นมรดกล้ำค่าจากพระคริสต์ ศีลศักดิ์สิทธิ์แต่ละประการนั้นมีแก่นแท้อยู่ที่พิธีกรรมอันเป็นสัญลักษณ์ที่มีพื้นฐานจากกิจวัตรในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น การชำระล้างด้วยน้ำ การใช้มือสัมผัสศีรษะ การร่วมรับประทานอาหาร เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งในศาสนาอื่นๆ ก็มีพิธีกรรมในทำนองเดียวกัน จะต่างกันก็ตรงที่ศาสนาคริสต์มีมากกว่าพิธีกรรมคือ มีพระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารเป็นหัวใจของการประกอบพิธี เพราะพระวาจานี้เอง พิธีกรรมจึงมีความหมาย และพระวาจานี้เองเช่นเดียวกัน พิธีกรรมจึงเผยแสดงถึงพระราชกิจของพระเยซูในอันที่จะนำเราไปสู่ความรอดพ้น ฉะนั้นพิธีกรรมที่เรียกว่าศีลศักดิ์สิทธิ์นี้จึงไม่ใช่เพียงการกระทำจากน้ำมือของมนุษย์ แต่โดยพิธีกรรมที่อาศัยมือของมนุษย์นี้เองที่พระเยซูได้ประทานพระจิตแก่เรา และโดยพระจิต เราจึงได้พบและสัมพันธ์กับพระเยซู และได้รับการเติมเต็มด้วยพระจิต
พระเยซูทรง “รวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน.11:52) “เดชะพระองค์ เราทั้งสองฝ่ายจึงเข้าไปเฝ้าพระบิดาเจ้าได้ในพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน” (อฟ. 2:18) โดยผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ได้รับพระนามพระเยซูและชีวิตพระเยซูได้รับการบำรุงเลี้ยงอยู่ในสัตบุรุษทั้งหลายโดยผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ พระเจ้าทรงให้กำลังแก่พวกเขาเพื่อให้ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ ความหวัง และความรัก พระคุณดังกล่าวของศีลศักดิ์สิทธิ์จะไม่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะพระเจ้าจะไม่ทรงบังคับมนุษย์ให้เป็นไปตามพระทัยพระองค์ พระเจ้าทรงปรารถนาความเชื่อและความรักอันเกิดจากใจเสรีของมนุษย์ พระจิตในใจมนุษย์ทรงเรียกให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างชาวคริสต์โดยผ่านทางศีลศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น หน้าที่ของเราคือ การตอบสนองต่อคำเชิญของพระจิตด้วยตัวเอง เพราะนอกจากนี้แล้วไม่มีใครทำแทนได้ การทรงเรียกของพระเจ้า และการสนองตอบของเราเปรียบได้กับภาพของแม่ที่เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยความรัก และรอยยิ้มของแม่คือความรักที่ซึมซาบลงไปภายในใจของลูกน้อย หุ้มห่อลูกไว้ทั้งกายและใจ และลูกน้อยนั้นสามารถส่งคืนรอยยิ้มให้แก่แม่ รอยยิ้มของลูก แต่เป็นผลจากความรักอันไม่มีขีดจำกัดของแม่ด้วย ถ้าไม่มีความรักของแม่ ก็ไม่มีรอยยิ้มของลูก สิ่งดียอดเยี่ยมที่เกิดขึ้น คือความยินดีที่ไม่มีขอบเขตจำกัดจากแม่นั่นเอง แม่รู้สึกอย่างไร พระเจ้าก็ทรงรู้สึกอย่างนั้นเช่นเดียวกัน อย่างที่สุภาษิตของชาวอิตาลีบอกไว้ว่า “ใจของแม่คือหน้าต่างที่เปิดออกให้เราเห็นถึงใจของพระเจ้า” ผมคิดว่านี่เป็นความจริง
เมื่อเราสนองตอบคำเชิญของพระคริสต์ รับศีลศักดิ์สิทธิ์และประกาศความเชื่อด้วยปาก (โรม 10:9-10) ถ้าหากว่าเรากระทำโดยปราศจากความเชื่อในใจ หรือเป็นคนตีสองหน้าในเวลานั้น ศีลศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจให้ความรอดแก่เราได้ พระคัมภีร์ใหม่ทุกเล่มเน้นย้ำว่า ความเชื่อเป็นบ่อเกิดของความรอด ความเชื่อเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์เราสามารถละทิ้งความยโสโอหัง และมอบตัวตนทั้งสิ้นให้แก่พระเจ้า ใจของมนุษย์จะเปิดออกรับพระคุณที่ทรงให้เราเป็นบุตรของพระองค์ ขณะรับศีลศักดิ์สิทธิ์ ควรแสดงความเชื่อและสักการะบูชาด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักร และในเวลานั้นเอง เขาก็ได้รับพลังจากพระเจ้าให้ดำเนินชีวิตติดตามพระเยซูคริสต์ได้ด้วย
ที่มา หนังสือชีวิตและคำสอนของพระเยซูเจ้า