แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ
    เราเชื่อว่าหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับเป็นขึ้นมาแล้ว ทรงยังอยู่กับบรรดาศิษย์ของพระองค์อีก 40 วัน ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไปในบทที่ 7
    ต่อจากนั้น พระองค์ทรงเสด็จขึ้นสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระบิดา ความเชื่อของเราประการนี้เป็นความเชื่อที่ให้ความหมายของการจบสิ้นพระภารกิจสภาพความเป็นมนุษย์ที่ทรงรับเอากายจากพระแม่มารีย์ในโลกนี้ หรือ พูดให้เห็นภาพชัดเจนก็คือ ทรงเสร็จสิ้นพระภารกิจแห่งการไถ่กู้มนุษย์ด้วยการเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์    ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ทั่วไป อยู่กับมนุษย์แบบมนุษย์สัมผัสได้ตลอด 33 ปีนั่นเอง
    ในพระคัมภีร์เล่าถึงการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระองค์ไว้สั้นๆ เช่น ลก 24 : 50-53 “พระองค์ทรงนำบรรดาศิษย์ออกไปใกล้หมู่บ้านเบธานี ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพร และขณะที่ทรงอวยพระพรนั้น พระองค์ทรงแยกไปจากเขา และทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์ บรรดาศิษย์กราบลงนมัสการพระองค์ แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดียิ่ง เขาอยู่ในพระวิหารตลอดเวลา ถวายพระพรแด่พระเจ้า...”
    หรือใน มก 16 : 19-20 ได้กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันแต่จะมีต่างกันบ้างในเกล็ดเล็กๆ น้อยๆ แต่ยังคงความเชื่อเช่นเดียวกัน “...เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์ให้ประทับ ณ เบื้องขวา บรรดาศิษย์ก็แยกย้ายกันออกไปเทศนาสั่งสอนทั่วทุกหนแห่ง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับเขา และรับรองคำสั่งสอนด้วยอัศจรรย์ที่ติดตามมา”
    การเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ จึงเป็นพระฤทธานุภาพของพระองค์เองที่ทรงกระทำ    มิต้องอาศัยผู้ใดทั้งสิ้น การประทับเบื้องขวาของพระเจ้าหมายถึงทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว    การใช้คำว่า “ประทับเบื้องขวา” ยังอาจทำให้เราเข้าใจว่า ทรงเป็นรองจากพระบิดา    ถ้าเรามองเพียงความหมายตามความคิดของมนุษย์    เราต้องไม่ลืมว่าพระองค์ทรงเป็นพระตรีเอกภาพ ซึ่งเป็นข้อความเชื่อของเราที่ได้กล่าวไปแล้ว    ดังนั้น ความหมายจึงหมายถึงการเสด็จกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดานั่นเอง
    ถึงตรงนี้เราสามารถเข้าใจได้ว่า แผนการแห่งการกอบกู้ (การไถ่บาป) ในส่วนขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว    ส่วนผู้ใดจะได้รับผลแห่งการกอบกู้ของพระองค์หรือไม่ จึงต้องขึ้นอยู่กับการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกอบกู้นี้อย่างไร แค่ไหน...    จึงเป็นที่มาของคำตอบที่ว่าทำไมเราต้องปฏิบัติตามจิตตารมณ์ (น้ำพระทัย) ขององค์พระเยซูคริสตเจ้า ทำไมเราจึงต้อง “รักพระเป็นเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”