จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อฉันตายแล้ว?
คาทอลิกมีความเชื่ออะไรเกี่ยวกับนาทีสุดท้ายของชีวิต และความตาย
เราจะเผชิญหน้าอย่างไรกับความตาย
ทุกคนนั้นย่อมกลัวที่จะเผชิญหน้ากับนาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ทว่า ความกลัวนี้เองก็เป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อมอบความกล้าในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และเรียนรู้ที่จะรักพระองค์ เมื่อเราเติบโตขึ้น เราก็เรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อความรักของพระองค์ ความตายที่เราเคยกลัวนั้นก็จะจางหายไป คริสตชนที่มีความศรัทธาเช่น นักบุญเปาโลนั้นมักจะไตร่ตรอง ปรารถนา ถึงความตาย ถึงแม้จะรู้ดีว่าจะต้องรอเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดไว้
คริสตชนคิดอย่างไรกับความตาย
ไม่มีใครอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเวลาที่ความตายมาถึงเป็นเช่นไร ในพระคัมภีร์และบทสวด โดยเฉพาะบทที่กล่าวในพิธีปลงศพนั้นกล่าวถึงความตายว่า เป็นเช่นดั่งการนอนหลับ เรานั้นนอนหลับทุกวันแต่เราบอกไม่ได้ว่าในช่วงเวลาที่เราหลับนั้นจริงๆแล้วเรากำลังอยู่ไหน และก็ไม่สามารถจดจำความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หลับได้
โดยปกติก่อนเราจะเข้านอน เราก็จะมีการเตรียมพร้อมสำหรับการนอน แต่การนอนหลับนิรันดร อาจเกิดขึ้นกับเราโดยไม่คาดคิดได้เช่นกัน ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม การหลับนั้นเป็นความรู้สึกที่อ่อนโยน แม้ว่าบางครั้งความตายมันอาจทุรนทุราย หรือเจ็บปวดเพราะความเจ็บป่วย แต่เมื่อนาทีสุดท้ายของชีวิตมาถึง ความหวาดกลัว ความเจ็บปวดนั้นจะหายไป มันจะเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เราจะหลับได้โดยปราศจากความกลัวใดๆ ซึ่งต่างจากการหลับปกติ เพราะมันคือการหลับที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ที่ทำได้คือเพียงเต็มใจยอมรับมัน เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะหลับและจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน
การกลับคืนชีพ : เราจะมีร่างกายหลังความตายหรือไม่
ความตายนั้นหมายถึง วิญญาณและร่างกาย แยกออกจากกัน กายของมนุษย์ย่อมสูญสลายไป และวิญญาณนั้นก็จะเดินทางไปพบพระเป็นเจ้า และรอคอยการกลับคืนชีพ
พระเจ้าจะประทานสิ่งที่สุดแสนวิเศษกับร่างกายของเรา ร่างกายและวิญญาณกลับมารวมกันอีกครั้ง โดยอาศัยอำนาจการคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ทุกชีวิตที่สูญสิ้นจะกลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง ผู้ทำความดีจะได้ชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่กระทำความชั่วจะได้รับการพิพากษา พระคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง บรรดาผู้ตายจะฟื้นคืนชีพอีกครั้งร่วมกับสิริรุ่งโรจน์เช่นเดียวกับพระองค์
เป็นการยากที่จะทำความเข้าใจว่า การละทิ้งกาลเวลาและเข้าสู่ความเป็นนิรันดรโดยปราศจากร่างกายเป็นอย่างไร จดหมายฉบับที่หนึ่งของนักบุญยอห์นเกี่ยวกับความรู้เรื่องชีวิตนิรันดร กล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถรู้ได้ว่าชีวิตนิรันดรเป็นเช่นไร แต่พระเป็นเจ้าจะทรงทำให้เราเป็นดั่งเช่นพระองค์ มนุษย์เรานั้นคือผู้มีบาปและแสวงหาการอภัยบาป แต่จะมีสิ่งใดที่แสดงถึงการอภัยบาปของพระผู้เป็นเจ้าไปมากกว่าการที่พระองค์ทรงทำให้เราเป็นเช่นดั่งพระองค์ เพราะฉะนั้นจงชื่นชมยินดีกับชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานให้เถิด
เราจะพบใครบนสวรรค์บ้าง
ผู้ที่สิ้นใจในพระหรรษทานของพระเจ้า ด้วยความใกล้ชิดสนิทกับพระองค์ ผ่านการชำระล้างจนบริสุทธิ์ ถึงจะสามารถอยู่ร่วมกับพระคริสตเจ้าได้ ชีวิตที่สุดแสนสมบูรณ์แบบที่สถิตอยู่ร่วมกับพระตรีเอกภาพ พระแม่มารีย์ เหล่าทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้า และบรรดาบุญราศี เราเรียกที่แห่งนั่นว่า “สวรรค์” ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นที่สุดในบรรดาสิ่งที่เราปรารถนาทั้งปวง นั่นคือการได้อยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์เจ้า ตามคำบอกเล่าในพระคัมภีร์ทำให้เราจินตนาการภาพของสวรรค์ได้ นั้นคือ แสงสว่าง,ชีวิต, สันติสุข,การพบปะสังสรรค์ของเหล่านักบุญ,อาณาจักรที่เปี่ยมล้นไปด้วยความอุดมสมบูรณ์, บ้านของพระบิดา เยรูซาเล็มใหม่ ฯล
พระศาสนจักรและพระคัมภีร์กล่าวตรงกันว่า ชีวิตอันเป็นนิรันดรนั้นเป็นหนทางที่จะช่วยให้เราได้พบกับพระเจ้า และบุคคลที่เรารักผู้ซึ่งจากเราไปก่อน ทว่า หลังจากชีวิตแห่งความตายเริ่มต้นขึ้น เราจะไม่มีทั้งร่างกายหรือแม้แต่ดวงตา แล้วเราจะสามารถเห็นผู้คนเหล่านั้นได้ยังไงละ? เราต้องลองคิดถึงใบหน้าของคนที่เข้าใจกระจ่างในประโยคที่ว่า “อ้อ...ฉันเข้าใจแล้วละ” เพราะจริงๆแล้ว “การมองเห็น” มันก็คือการระลึกได้ รับรู้ได้ และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นด้วยความเข้าใจ
การพิพากษาและการลงโทษ
ไม่ว่าใครก็ตามที่สิ้นใจในศีลในพรของพระเจ้า ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังต้องการ การชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ เพราะหลังผ่านพ้นความตายแล้ว วิญญาณจำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์ และเหมาะสมที่จะมีชีวิตร่วมกับพระเจ้าในอาณาจักรสวรรค์ พระศาสนจักรเรียกความเชื่อนี้ว่า การชำระล้าง(วิญญาณ)ครั้งสุดท้ายในไฟชำระ
เรากล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากความตาย ไม่ว่าจะเป็นลำดับขั้น หรือกาลเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้มีอยู่ก่อนหน้ามาช้านานแล้ว และอยู่นอกเหนือการคาดเดาใดๆอย่างสิ้นเชิง เมื่อเราพบและอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะตัดสินเราเฉกเช่นเด็กน้อย เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกตื่นกลัว ประหม่า หรือพยายามหาข้อแก้ตัวต่อความผิดบาปทั้งหลายที่เราได้ทำ เพราะพระองค์ก็เปรียบได้กับพ่อแม่ที่รู้ความผิดของลูกอยู่ก่อนแล้ว โดยที่ลูกไม่จำเป็นต้องให้อธิบายใดๆทั้งสิ้น
ความหวาดวิตกและความชื่นชมยินดี แทบจะเรียกได้ว่ามันคือสิ่งเดียวกัน เมื่อเราอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะทรงชำระความผิดบาปเหล่านั้นจนสะอาดบริสุทธิ์ ในขณะที่เรารู้สึกหวาดกลัวก็มีความรู้สึกมั่นใจไม่ไหวหวั่นเกิดขึ้นภายในจิตใจด้วย พระเจ้าทรงสร้างเราและช่วยเหลือเรา เราเกลียดบาปที่เราได้กระทำ และเชื่อในความรักของพระเป็นเจ้า
การภาวนาสำหรับผู้ตาย
ตั้งแต่แรกเริ่ม พระศาสนจักรมองว่า ความตายถือเป็นความทรงจำที่แสนมีเกียรติ เพราะนั้นคือหนทางสู่การนำเราออกจากความบาปทั้งปวง รวมถึงภาวนาระลึกถึงผู้ตาย และยิ่งกว่านั้นคือพิธีมิสซาที่เราขอให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ ดังนั้น การชำระบาป พระศาสนจักรจึงมองว่าเป็นแผนการที่น่าปิติยินดีของพระเป็นเจ้า ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง พระศาสนจักรแนะนำให้ผู้ที่ทำบาปทั้งหลายกลับใจและใช้โทษบาปเพื่อความบริสุทธิ์ของวิญญาณเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง
ความเป็นหนึ่งเดียวของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
เราเชื่อในบรรดาผู้ที่ได้รับส่วนร่วมความศักดิ์สิทธิ์ในพระเยซูคริสตเจ้า บรรดาผู้แสวงบุญบนโลกใบนี้,วิญญาณที่ได้รับการชำระจนสะอาดบริสุทธิ์,บรรดาเหล่ามรณะสักขี ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักร ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นได้เพราะความรักของพระเป็นเจ้า และบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งรับฟังคำสวดภาวนาของพวกเราเสมอ
การแบ่งแยกที่เป็นนิรันดร
ท้ายที่สุด เมื่อความตายมาถึง สำหรับบรรดาคนบาป นรกจะเป็นที่รองรับสำหรับวิญญาณเหล่านั้น สถานที่ที่พวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษซึ่ง ที่แห่งนั้นเรียกว่า “นรก” มันคือสถานที่ที่เลวร้ายที่สุด สำหรับบรรดาวิญาณของผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างหลงผิดและไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และปฏิเสธพระเจ้า “นรก”คือสถานที่ที่ถูกแยกตลอดการจากที่ประทับของพระเจ้าหรือที่เรียกว่า “สวรรค์” ซึ่งเป็นเพียงที่เดียวที่จะทำให้ มีความสุข และนั้นคือที่สุดของสิ่งที่พวกเราทุกคนรอคอย