เรื่องราวโดยย่อจากหนังสือทั้ง 73 เล่มของพระคัมภีร์
(บทความนี้เรียบเรียงโดย ป.จันทร์)
1. พระเป็นเจ้าทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่เห็นได้และเห็นไม่ได้ผ่านทางองค์พระวจนาตถ์ (พระบุตร) ในวาระสุดท้าย พระองค์ทรงกำหนดให้เป็นวาระที่ยกถวายแด่พระเป็นเจ้า
2. อาดัม เอวา เลือกทำตามใจของตนเองมากกว่าทำตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า สภาพมนุษย์จึงเปลี่ยนไป แต่พระเป็นเจ้าทรงสัญญาว่า “จะส่งผู้ไถ่กู้มาช่วยมนุษย์”
3. มนุษย์เริ่มตกต่ำมาตามลำดับ ลูกหลานของอาดัมและเอวาเริ่มรู้จักความดีและความชั่ว เช่น กาอินฆ่าอาแบลน้องชายของตน เค้าโครงจิตใจของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยแนวโน้มไปในทางร้ายเสมอ พระเป็นเจ้าจึงตั้งพระทัยจะลบล้างมนุษย์ชั่วให้หมดไปเสียจากโลก
4. มีเพียงโนอาห์และผู้อยู่ในสำเภาที่เหลือรอดชีวิต รวมทั้งบรรดาสิ่งมีชีวิตในสำเภา นอกนั้นก็สูญหายไปกับน้ำวินาศ
5. พระเจ้าทรงสัญญากับมนุษย์อีกว่า จะไม่ทรงทำลายมนุษย์ด้วยน้ำอีกต่อไป โนอาห์ตั้งแท่นถวายบูชาแด่พระเป็นเจ้า นมัสการพระองค์
6. มนุษย์เริ่มมีลูกหลานมากขึ้น พวกเขาเริ่มคิดอย่างเดียวกับอาดัมและเอวา ความจองหองต่อพระเป็นเจ้าทำให้พวกเขาอยู่รวมกันเพื่อสร้างหอสูง เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความยิ่งใหญ่ของสติปัญญาของมนุษย์ แต่เขาสร้างไม่สำเร็จและแตกความสามัคคีกัน เขาเรียกหอนั้นว่า “บาเบล” แปลว่า วุ่นวาย มนุษย์จึงกระจัดกระจายออกไป พูดภาษาต่างๆ
7. พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้ออกจากบ้านเกิด จากญาติพี่น้อง เดินทางไปยังแผ่นดินที่พระองค์จะทรงชี้บอกให้ ณ ที่นั้น พระองค์ทรงสัญญากับอับราฮัมจะให้เขาเป็นต้นตระกูลของชนชาติใหญ่ อับราฮัมแม้ไม่เคยรู้จักกับพระเจ้าองค์นี้มาก่อน แต่ก็เชื่อและปฏิบัติตาม
8. อับราฮัมออกเดินทางไปพร้อมกับโลทหลานชาย ทั้งสองมีความร่ำรวยมากจนภายหลังต้องแยกที่ทำกินจากกัน โลทอยู่ที่เมืองโสโดม
9. พระเป็นเจ้าทรงสัญญาว่าจะให้อับราฮัมมีบุตร พระองค์กับทูตสวรรค์ 2 องค์ ทรงตำหนิความไม่เชื่อของนางซาราห์ภรรยาของอับราฮัม
10. ก่อนจะออกเดินทางไปเมืองโสโดม เพื่อไปทรงลงโทษเมือง โสโดมพร้อมกับเมืองโกโมราห์
11. อับราฮัมได้ต่อรองของพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า แต่คนดีในเมืองโสโดมมีไม่ถึง 10 คน พระเป็นเจ้าจึงทรงลงโทษเมืองทั้ง 2 ด้วยฝนไฟกำมะถันที่ตกลงมาจากฟ้า แต่โลทและครอบครัวรอดชีวิต ยกเว้นภรรยา
12. อับราฮัมมีบุตรชื่อ “อิสอัค” เกิดจากนางซาราห์และบุตรที่เกิดจากทาสอีกคนชื่อ “อิชมาเอล” พระเป็นเจ้าทรงนับอิสอัคเป็นลูกแห่งพันธสัญญา ส่วนอิชมาเอลเป็นต้นตระกูลของชาวอาหรับในเวลาต่อมา
13. พระเป็นเจ้าทรงทดลองความเชื่อของอับราฮัม โดยการให้เอาอิสอัคไปฆ่าถวายบูชาบนภูเขา เมื่อได้ทรงทดลองใจอับราฮัมว่าเชื่อจริงแล้ว พระองค์จึงทรงทำพันธสัญญากับอับราฮัมให้ชนชาติของเขาเป็นชนชาติศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนมากมายมหาศาล
14. อิสอัคให้กำเนิดยาโคบและเอซาว ทั้ง 2 เป็นฝาแฝดกัน เอซาวเป็นพี่ ยาโคบเป็นน้อง เอซาวแลกสิทธิลูกหัวปีกับถั่วต้มของยาโคบ พระเป็นเจ้าทรงเลือกยาโคบเป็นหนทางสู่ความจริงตามพันธสัญญา
15. ยาโคบมีบุตร 12 คน คนที่ 4 ขื่อยูดาห์ คนที่ 11 ชื่อโยเซฟ คนที่ 12 ชื่อเบนยามิน
16. โยเซฟถูกพี่ๆ ขายไปเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์ แต่พระเป็นเจ้าทรงใช้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องมือสำหรับเตรียมชาติอิสราเอลทั้ง 12 ตระกูลให้คงมีชีวิตไม่อดตาย และมีจำนวนมากมายมหาศาล
17. ชาวอิสราเอลตกเป็นทาสในอียิปต์ พระเป็นเจ้าทรงให้โมเสสนำประชากรของพระองค์ออกจากประเทศอียิปต์ ออกจากการเป็นทาสสู่การเป็นไท อาศัยอัศจรรย์หลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัศจรรย์แห่งลูกแกะปัสกา
18. ชาวอิสราเอลอพยพอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี ระหว่างนั้น พระองค์ทรงให้น้ำจากหินแก่เขาเพื่อดื่ม ให้เนื้อจากนกคุ่มเพื่อเขารับประทานและให้ข้าวจากฟ้าที่เรียกว่า มานนา เหนือสิ่งอื่นใดพระเป็นเจ้าประทานพระบัญญัติ 10 ประการแก่พวกเขาที่ภูเขาซีนาย พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับพวกเขา ถ้าหากเขาถือบัญญัติและนับถือพระองค์ พระองค์จะทรงเป็นพระเป็นเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของพระองค์
19. ที่สุดพวกเขามาถึงแผ่นดินพระสัญญา การอพยพก็สิ้นสุดลง พระองค์ทรงช่วยเขาภายใต้การนำของโยชูวาให้เข้าในแผ่นดินพระสัญญาโดยง่าย
20. อิสราเอลเริ่มสร้างประเทศและชาติของตน และรื้อฟื้นพันธสัญญาระหว่างพวกเขากับพระเป็นเจ้า
21. ประเทศต่างๆ รอบข้างล้วนแต่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง แต่อิสราเอลไม่มี พระเป็นเจ้าทรงใช้ประกาศกและผู้วินิจฉัยแทนสถาบันกษัตริย์
22. ประกาศก คือ ผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงเรียกเป็นพิเศษ เพื่อพูดแทนพระองค์ ตักเตือน ให้เกรงกลัวผลร้ายของบาปและบางครั้งให้กำลังใจปลอบโยน อีกทั้งอาจกล่าวทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเป็นมาในอนาคตทั้งใกล้และไกล เราจึงเรียกบรรดาประกาศกว่าผู้ทำนายหรือปรอเฟตา ประกาศกเหล่านี้มาจากบุคคลหลายๆ ชีวิต ซึ่งไม่เหมือนกันเลย พวกเขาเป็นประกาศกตลอดชีวิต
23. ผู้วินิจฉัย คือ ผู้ซึ่งพระเป็นเจ้าทรงแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองชาวอิสราเอลให้พ้นจากศัตรูทางการเมือง มีก่อนสถาบันกษัตริย์ ส่วนใหญ่มักจะนำชัยชนะต่อการเบียดเบียนครอบครองอันเนื่องมาจากศัตรูรอบข้าง
24. ประกาศกที่สำคัญ คือ อิสยาห์ เยเรมีห์ เอเสเคียล ดาเนียล อามอส โฮเชยา มีคาห์ มาลาคี นาฮูม
25. ผู้วินิจฉัยที่สำคัญ คือ กิเดโอน เดโบราห์ แซมสัน โทลา ยาอีร์
26. นารูธ เป็นชาวโมอับ แต่งงานกับชาวอิสราเอล ชือ คิลิโอน ซึ่งเป็นบุตรของนางนาโอมีกับสามีชื่อเอลิเมเล็ค หลังจากคิลิโอนตายแล้ว เหลือนางนาโอมีกับนางรูธลูกสะใภ้กลับมาที่บ้านเกิด ภายหลังนางรูธแต่งงานใหม่กับโบอาสให้กำเนิดโอเบด โอเบดเป็นบิดาของเจสซี และเจสซีเป็นบิดาของกษัตริย์ดาวิด
27. สถาบันกษัตริย์เริ่มขึ้นด้วยความต้องการของชาวอิสราเอล พวกเขาต้องการมีกษัตริย์เหมือนกับชนชาติอื่นๆ รอบข้าง พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ประกาศกเตือนพวกเขาว่า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกเขาอยู่แล้ว แต่ชาวอิสราเอลยังคงยืนกรานต้องการกษัตริย์
28. กษัตริย์ซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของชาวอิสราเอล แต่ได้ทำสิ่งที่ขัดเคืองพระทัยพระเป็นเจ้าเสมอ พระองค์จึงทรงให้ประกาศกซามูแอลไปเจิมแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ คือ กษัตริย์ “ดาวิด” แต่ดาวิดแม้จะยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวอิสราเอลก็ยังทรงประพฤติผิดต่อพระเป็นเจ้า แต่ดาวิดทรงกลับใจขอโทษ
29. กษัตริย์ผู้ทรงสร้างวิหาร คือ “ซาโลมอน” ผู้เป็นราชโอรสของดาวิด พระเป็นเจ้าประทานสติปัญญาอันล้ำเลิศแก่พระองค์ แต่ในบั้นปลาย กษัตริย์ “ซาโลมอน” ทรงนำชาวอิสราเอลทิ้งพระผู้เป็นเจ้าไปไหว้นมัสการพระเท็จเทียม
30. กษัตริย์องค์อื่นๆ ทั้งหมดล้วนแต่ล้มเหลว มีเพียงบางองค์เท่านั้นที่ซื่อตรงต่อพระเป็นเจ้า
31. เมื่อดำเนินมาถึงยุคหนึ่ง ชาวอิสราเอลได้รวบรวมข้อเขียนที่บรรพบุรุษได้จารึกไว้บนแผ่นหนังบ้าง บนกระดาษโบราณบ้าง อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่พระผู้เป็นเจ้ามาเกี่ยวข้องกับพวกเขา บันทึกกฎหมาย คำเทศน์ และกิจการของบรรดาประกาศก เมื่อรวบรวมได้แล้วเขาใช้อ่านเตือนใจกัน เมื่อพวกเขาชุมนุมนมัสการพระในพระวิหารถือเป็นหนังสือพระคัมภีร์
32. ในยุคหลัง อิสราเอลยังก่อกำเนิดพระคัมภีร์ในรูปแบบสุดท้ายเรียกว่า “หนังสือปรีชาญาณ” ซึ่งเริ่มพูดถึงชีวิตหน้าเป็นครั้งแรก หนังสือประเภทนี้เกิดมีขึ้นใกล้สมัยพระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิดตามพระสัญญา
33. หนังสือประเภทปรีชาญาณได้แก่ ปัญญาจารย์ เพลงซาโลมอน ดาเนียล เป็นต้น
พันธสัญญาใหม่ (THE NEW TESTAMENT)
34. เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิด ประเทศอิสราเอลตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน มีกษัตริย์เฮโรดเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล จักรพรรดิออกัสตัสซีซาร์ปกครองอาณาจักรโรมัน
35. โยเซฟ ช่างไม้ เป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ดาวิดได้หมั้นหมายกับพระนางมารีอา แต่ก่อนที่ทั้ง 2 จะอยู่กินด้วยกัน ฤทธิ์เดชของพระจิตเจ้าได้บันดาลให้พระนางทรงครรภ์ ทูตสวรรค์คาเบรียลได้แจ้งข่าวเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้วว่า บุตรที่เกิดมาจะได้เป็นพระผู้ไถ่ โยเซฟตั้งใจจะถอนหมั้น แต่ทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้าบอกโยเซฟในความฝันว่าให้รับพระนางมารีอาไว้เป็นภรรยา
36. เมื่อพระนางมารีอาใกล้ถึงกำหนดคลอดบุตร จักรพรรดิออกัสตัสประกาศสำรวจสำมะโนครัว ใครมีต้นตระกูลเดิมอยู่เมืองไหนต้องลงทะเบียนสำมะโนครัวที่เมืองนั้น โยเซฟจึงพาพระนางมารีอาออกเดินทางไปเมืองเบ็ธเลเฮมอันเป็นนครกษัตริย์ “ดาวิด”
37. เมื่อมาถึงเบ็ธเลเฮม ไม่มีที่ว่างสำหรับท่านทั้ง 2 ตามโรงแรมที่พัก พระนางมารีอาถึงกำหนดคลอดบุตรพอดี โยเซฟจึงพาออกไปนอกเมืองอาศัยที่พักสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์เป็นที่พักพิง ในคืนนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระมหาไถ่ทรงบังเกิดมาในโลกอย่างเงียบสงบ พระนางมารีอาเอาผ้าพันพระกุมารและให้นอนในรางหญ้า
38. มีกลุ่มคนเลี้ยงแกะกำลังเฝ้าแกะของตน ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ปรากกออกมา พวกเขาตกใจมาก ทูตสวรรค์ปรากฏมาบอกว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอกท่าน ในคืนนี้ในเมืองของดาวิด พระมหาไถ่ได้ประสูติมา ท่านจะพบพระองค์มีผ้าพันกายนอนในรางหญ้า” จากนั้นมีเทวดาอีกหลายองค์ ปรากฏมาร้องเพลงว่า “พระสิริรุ่งโรจน์มีแด่พระเป็นเจ้าในสรวงสวรรค์และสันติสุขจงมีแด่มนุษย์ผู้มีน้ำใจดีบนแผ่นดิน” พวกชุมพาบาลจึงออกเดินทางไปตามทิศที่ดาวปรากฏ
39. พวกเขาได้พบทุกอย่างตามที่ทูตสวรรค์บอก จึงเข้ากราบนมัสการ
40. มีนักปราชญ์จากบูรพาทิศ พวกเขาทราบว่าดาวดวงนี้เป็นดาวประจำองค์ของท่านผู้ยิ่งใหญ่ เขาจึงตามมาจนถึงเมืองเบ็ธเลเฮม เขาเข้าไปในเมืองและเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮโรด เพื่อถามหากษัตริย์บังเกิดใหม่ เฮโรดจึงหลอกพวกนักปราชญ์ให้ไปตามหา เมื่อพบแล้วให้กลับมาบอกเพื่อตนจะได้นมัสการด้วย แต่แท้จริงทรงต้องการกำจัดพระกุมารนั้นเสีย
41. นักปราชญ์กลุ่มนั้นได้พบพระกุมารจึงเข้าไปนมัสการและถวายเครื่องบรรณาการมี ทองคำ กำยาน และมดยอบ อันมีความหมายถึงความเป็นกษัตริย์ ความเป็นพระเจ้า และหมายถึงพระมหาทรมานที่พระองค์จะได้รับ ทูตสวรรค์ได้บอกพวกนักปราชญ์ในฝันให้เดินทางกลับทางอื่น เพราะกษัตริย์เฮโรดทรงตั้งใจปองร้ายพระกุมาร
42. ความหมายของเรื่องนักปราชญ์เหล่านี้ คือ พระผู้เป็นเจ้าเมื่อทรงบังเกิดมาก็เพื่อมนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา มิใช่เฉพาะชนชาวยิวเท่านั้น
43. กษัตริย์เฮโรดครั้นทราบว่าพวกนักปราชญ์ทราบความจริงก็ทรงพิโรธยิ่งนัก สั่งให้ห่าเด็กน้อยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 2 ขวบลงมา เสียงแม่ร้องไห้คร่ำครวญ ขณะนั้นพระกุมารเดินทางหนีไปประเทศอียิปต์
44. ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าเป็นไปตามคำทำนายของบรรดาประกาศกในพันธสัญญาเก่า เช่น จะมาบังเกิดในตระกูลกษัตริย์ดาวิดจากหญิงพรหมจารีย์ เรื่องของนักปราชญ์ และการคร่าชีวิตเด็กเหล่านั้น อีกทั้งการหนีไปประเทศอียิปต์ เป็นต้น
45. พระกุมารประทับที่อียิปต์หลายปีจนกระทั่งกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์ มีแต่พบว่ากษัตริย์ที่ครองราชย์แทนก็ไม่น่าไว้วางใจ โยเซฟจึงพาครอบครัวไปอยู่เมืองนาซาเร็ธ ซึ่งตรงกับคำทำนายอีกว่า พระองค์จะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ
46. นักบุญยอห์น บัปติสต์ เป็นบุตรของเศคาริยาห์และนางเอลีซาเบ็ธ ท่านเป็นประกาศกองค์สุดท้ายเพื่อเตรียมจิตใจของชาวอิสราเอล อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่ตัวด้วยเสื้อขนอูฐ รับประทานตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่า ท่านประกาศว่า พระมหาไถ่กำลังจะเสด็จมา ท่านได้ทำพิธีล้างให้แก่พระเยซูเจ้าในแม่น้ำจอร์แดน ศิษย์ของยอห์นหลายคนได้กลายมาเป็นศิษย์ของพระเยซู เพราะท่านได้ชี้ให้ศิษย์ของท่านดูพระชุมพาน้อย และภายหลังยอห์นถูกกษัตริย์เฮโรดจับขังคุกและตัดศีรษะในที่สุด
47. ครั้นพระเยซูเจ้าทรงพระชนมายุ 12 พรรษา แม่พระและโยเซฟได้พาพระองค์ไปที่กรุงเยรูซาเล็ม
48. การไปกรุงเยรูซาเล็มเป็นขนบธรรมเนียมของชาวยิวที่อยู่ห่างไกลเดินทางไปนมัสการพระโดยร่วมทางกันไปเป็นขบวน ขากลับแม่พระและนักบุญโยเซฟไม่พบพระเยซูเจ้าในขบวนญาติๆ จึงกลับไปหาที่กรุงเยรูซาเล็ม หาอยู่ 3 วันจึงพบพระเยซูเจ้าประทับในพระวิหารทรงกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางพวกนักปราชญ์และอธิบายพระคัมภีร์
49. พระเยซูเจ้าทรงยืนยันกับนักบุญโยเซฟและแม่พระว่า “ท่านตามหาลูกทำไม ท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าลูกต้องทำภารกิจของพระบิดา” พระเยซูเจ้าเสด็จกลับบ้าน ทรงนบนอบบิดามารดา
50. ครั้นพระองค์ทรงพระชนมายุ 30 พรรษา ขณะนั้น ยอห์น บัปติสต์เทศนาให้ผู้คนว่าจงเตรียมทางให้พระมหาไถ่และให้ทุกคนกลับใจ รับพิธีล้างในแม่น้ำจอร์แดน
51. พระเยซูเจ้ารับศีลล้างแล้ว พระองค์เสด็จไปยังที่เปลี่ยว ทรงอดอาหารและภาวนา 40 วัน มารมาผจญพระองค์แต่พระองค์ก็ทรงเอาชนะการประจญทุกประการ
52. พระชนม์ชีพเปิดเผยของพระเยซูเจ้า เริ่มต้นเมื่อพระองค์ออกทรงเทศนาและแสดงพระองค์อย่างเปิดเผย พระองค์มีพระชนมายุ 30 พรรษาแล้ว ทรงเทศนาที่ทะเลสาบกาลิลีเป็นส่วนใหญ่ ไปที่กรุงเยรูซาแลมอย่างน้อย 3 ครั้ง ระหว่างนั้นได้กลับไปเทศน์ที่บ้านเกิดเมืองนาซาเร็ธ
53. คำสอนชองพระเยซูเจ้า มีลักษณะไขแสดงความจริงเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน นำความประหลาดใจและไม่เข้าใจมาสู่คนในยุคนั้น เป็นคำสอนที่ทำให้กฎหมายต่างๆ และพระคัมภีร์ของชาวยิวสมบูรณ์ถูกต้องครบความมากขึ้น
54. นอกจากการสอนแล้วพระองค์ทรงกระทำการอย่างมหัศจรรย์ และมหัศจรรย์ของพระองค์นั้นมีจุดประสงค์เพื่อเป็น “เครื่องหมาย” มิใช่การแสดงอิทธิฤทธิ์ เครื่องหมายในที่นี้ก็คือพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้เข้ามาอยู่ในโลกแล้ว อัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำที่สำคัญก็คือ การที่พระองค์ทำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพ เท่านั้นยังไม่พอพระองค์ทรงได้เสด็จกลับเป็นขึ้นมาด้วยพระองค์เอง อันเป็นการยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็นพระเป็นเจ้าให้เกิดให้ตายแก่มวลมนุษย์
55. พระองค์ทรงเรียกอัครสาวกจากชาวประมง คนเก็บภาษี รวมทั้งสิ้น 12 คน แต่ก็ยังมีลูกศิษย์อีกเป็นจำนวนมากตลอด 3 ปีที่อยู่ด้วยกันนั้น ทั้ง 12 คนไม่ค่อยเข้าใจคำสอนและกิจการของพระเยซูเจ้า แต่ทุกคนก็เป็นพยานยืนยันถึงชีวิตและอัศจรรย์ของพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าถูกจับและถูกทรมาน อัครสาวกหนีพระองค์ไปหมด แต่หลังจากพระองค์เสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพแล้ว พระจิตเจ้าได้ทำให้พวกสาวกเข้าใจในคำสอนทุกข้อและมีความกล้าหาญในการเทศนาสั่งสอนและเริ่มต้นตั้งพระศาสนจักร
56. มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่าพวกฟาริสี ซัดดูสี คัมภีราจารย์ มหาสมณะ เป็นศัตรูกับพระเยซูเจ้า ตลอดเวลาพวกเขาหาโอกาสจับผิด กลั่นแกล้ง และหาเรื่อง ที่สุดพระเยซูเจ้าถูกพิพากษาและตัดสินประหารชีวิต ทั้งนี้โดยอาศัยอำนาจของอาณาจักรโรมัน
57. พระเยซูเจ้าถูกจับในสวนมะกอก ยูดาสหาหนทางด้วยวิธีการของตนจะช่วยพระเยซู แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นดังนั้น พวกศัตรูต้องการฆ่าพระเยซูเจ้า ยูดาสจึงกลายเป็นผู้ทรยศ แต่ความผิดของยูดาสอยู่ตรงที่รู้จักพระเมตตาพระเยซูเจ้าน้อยเกินไป เขาแขวนคอตัวเองที่ต้นไม้ ในขณะที่เปโตรผู้ปฏิเสธไม่รู้จักพระองค์ถึง 3 ครั้ง เป็นทุกข์เสียใจและกลับใจ ต่อมา เปโตรเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก
58. ระหว่างหนทางไปสู่เนินกลโกธา (เนินหัวกะโหลก) พระเยซูเจ้าทรงแบกกางเขนและทรงรับทรมานอย่างสาหัส พระองค์ทรงพบกับโยเซฟ ชาวอริมาเทีย ซึ่งถูกจับให้มาช่วยแบกกางเขน พระองค์ทรงพบกับกลุ่มสตรีใจศรัทธาแห่งกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงบอกให้พวกเธอเป็นทุกข์และร้องไห้เพื่อตัวเองและลูกๆ ของเธอ และยังทรงพบปะกับพระมารดามารีอา ผู้ซึ่งติดตามพระองค์ไปจนถึงเนินพร้อมกับศิษย์ชื่อยอห์น พระองค์ทรงมอบแม่พระให้เป็นแม่ของพวกเรา และขอให้พวกเราเป็นลูกๆ ของพระนาง หลังจากที่ทุกสิ่งสำเร็จตามพระคัมภีร์ พระองค์จึงสิ้นพระชนม์
59. เมื่อใกล้สิ้นพระชนม์ เพื่อให้สำเร็จตามพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสว่าเรากระหาย ทหารจึงเอาฟองน้ำชุบน้ำส้มเสียบปลายไม้อ้อยืนให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมแล้วจึงตรัสว่า “จบบริบูรณ์แล้ว” แล้วทรงสิ้นพระชนม์
60. ขณะนั้นม่านในพระวิหารได้ฉีกขาดด้วยตัวเองจากบนลงล่าง ท้องฟ้าทั่วกรุงเยรูซาเล็มมืด ทหารที่อยู่ที่นั้นกล่าวว่า “ท่านผู้นี้ต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน” ที่ยอดกางเขนของพระองค์มีป้ายเขียนว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” บรรดาสมณะและชาวยิวท้วงติงปิลาตให้เขียนว่า “มันอ้างว่าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว” แต่ปิลาตไม่ยอม และพูดว่าเขียนแล้วก็เขียนแล้ว
61. พระองค์สิ้นพระชนม์วันศุกร์ ครั้นถึงเช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีมักดาลากับเพื่อนๆ ได้นำเครื่องหอมเพื่อมาชโลมพระศพพระเยซูเจ้า ซึ่งถูกฝังไว้ในคูหาและปิดด้วยแผ่นหินใหญ่ แต่เมื่อพวกเธอไปถึง แผ่นหินได้ถูกเปิดเลื่อนออกไปแล้ว ทั้งหมดจึงเข้าไปดูก็พบชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสีขาว นางตกใจกลัวมาก หนุ่มนั้นกล่าวว่า “ทำไมมาหาผู้เป็นในท่ามกลางผู้ตายเล่า พระองค์เสด็จกลับเป็นขึ้นมาแล้วไม่อยู่ที่นี่หรอก” มีผ้าที่ใช้พันพระศพพระเยซูเจ้าวางอยู่ตรงนั้นและผ้าที่ใช้พันพระเศียรพับวางอยู่ที่หนึ่งต่างหาก ทูตสวรรค์กล่าวต่อไปว่า “จงไปบอกพวกเปโตรและสาวกว่าพระองค์เสด็จไปรอพวกเขาที่กาลิลี” สตรีเหล่านั้นรีบออกจากพระคูหา
62. พออัครสาวกได้พบพระเยซูที่แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงปรากฏองค์และอยู่กับพวกเขาเป็นเวลา 40 วัน พระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า ให้เธอรับเสด็จพระจิตเจ้าและพระองค์จะทรงอยู่กับพวกเขาจนถึงวันสิ้นพิภพ แล้วพระองค์จึงเสด็จขึ้นสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระเป็นเจ้า
63. ในวันเปนเตกาสเต พวกอัครสาวกชุมนุมกันอยู่ในห้องพร้อมกับแม่พระ ทันใดพระจิตเจ้าก็เสด็จลงมาในรูปของเปลวไฟรูปร่างเหมือนลิ้นไฟลอยอยู่เหนือศีรษะทุกคน ทุกคนจึงเปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้า เปโตรจึงเปิดหน้าต่างออกไปกล่าวกับฝูงชนซึ่งขณะนั้นมาจากหลายชาติหลายภาษา ท่านได้เทศนาถึงพระเยซูเจ้าด้วยภาษาฮีบรู แต่ทุกคนที่ฟังได้ยินเป็นภาษาของตน ในวันนั้นมีผู้ขอรับศีลล้างบาปประมาณ 3,000 คน
64. ต่อจากนั้น บรรดาอัครสาวกจึงแยกย้ายกันไปเทศนาสั่งสอนตามที่ต่างๆ เป็นเริ่มต้นพระศาสนจักรคาทอลิกจนถึงปัจจุบัน ระหว่างนั้นก็มีบรรดานักบุญจำนวนมากมาย เช่น นักบุญเปาโลผู้ซึ่งได้รับฉายาว่าอัครสาวกของคนต่างศาสนา ซึ่งท่านทำงานเผยแพร่พระนามอย่างกว้างขวาง
65. นักบุญเปโตรเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก โดยตั้งศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม บริเวณรัฐวาติกันในปัจจุบัน ยากอบเป็นพระสังฆราชของนครเยรูซาเล็ม เล่ากันว่าโทมัสไปถึงอินเดีย ยอห์นไปอยู่ประเทศกรีก นักบุญเปาโลเทศน์ให้คนต่างศาสนาที่ไม่ใช่ชาวยิว อัครสาวกส่วนใหญ่สิ้นใจเป็นมรณสักขี (นักบุญผู้ยอมตายเพื่อยืนยันความเชื่อ) ประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรมีทั้งบรรดานักบุญปิตาจารย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์พระสันตะปาปา พระคาร์ดินัล พระสังฆราช พระสงฆ์นักบวชชาย-หญิง นักปรัชญามากมายอย่างอุดมนำความเจริญก้าวหน้าสู่พระศาสนจักร แต่ก็มีบรรดาศัตรูและอุปสรรคมิใช่น้อย บางครั้งมีการแตกแยก แต่พระอาณาจักรพระเป็นเจ้าที่ได้สถาปนาขึ้นแล้วในโลกกำลังเจริญขึ้นเป็นต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านที่อาศัยของนกในอากาศดุจดังพระวาจาเรื่องอุปมาของเมล็ดซินาปิสขององค์พระเยซูเจ้า (มธ 13 : 31/มก 4 : 31/ลก 13 : 19)
“ข้าแต่พระเป็นเจ้าพระองค์ทรงสอนใจของสัตบุรุษด้วยความสว่างของพระจิต ขอให้เราซาบซึ้งในความเที่ยงตรงด้วยพระจิตนั้น ข้าขอฝากชีวิตของข้าพเจ้าที่ต้องเดินทางในโลกนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ขอพระองค์อย่าทอดทิ้งข้าพเจ้าเทอญ อาแมน”
ที่มา หนังสือความเชื่ออันเป็นชีวิต