1. ข้าวละมาน (มธ 13:24-30)
คำอธิบาย
อาณาจักรสวรรค์ พระบุตรของพระเป็นเจ้าทรงรับธรรมชาติมนุษย์ เพื่อไถ่กู้มนุษยชาติให้เอาตัวรอดไปสวรรค์ เราทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาเพื่อประกาศข่าวดี ครั้งแรกหลังจากบิดามารดาเดิมของเราได้ทำบาป (ปฐก 3:15) ทั้งนี้ เพราะพระเป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ และพระองค์ยังรื้อฟื้นคำสัญญานี้กับบรรพบุรุษ ประกาศกหลายๆ ท่าน ก็ได้ทำนายเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระองค์ พระองค์เป็นทั้งกษัตริย์ ประกาศก และพระสงฆ์ และเนื่องจากในจารีตพิธี กษัตริย์ ประกาศก และพระสงฆ์ถูกเจิมด้วยน้ำมัน ฉะนั้น พระผู้กอบกู้ที่จะเสด็จมาจึงได้รับชื่อใหม่ว่า พระผู้ถูกเจิม อาณาจักรสวรรค์ของพระองค์จะแผ่ไปทั่วทิศานุทิศ สมาชิกของอาณาจักรสวรรค์มาจาก 4 มุมโลก (เทียบ มธ 8:11; 24:14) สมาชิกไม่ใช่แต่ผู้ที่อยู่ในประเทศปาเลสไตน์ตามที่ชาวฟาริสีเชื่ออย่างผิดๆ
พระอาณาจักรสวรรค์นี้มี 2 ระดับ คือ
1. อาณาจักรสวรรค์ที่อยู่บนโลกนี้ ซึ่งเป็นสังคมที่มองเห็นได้และสถาปนาโดยพระคริสตเจ้า จุดประสงค์ของอาณาจักรก็เพื่อเตรียมทุกคนที่ยินดีรับคำสอนและความช่วยเหลือ เพื่อเขาจะได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์
2. อาณาจักรสวรรค์หรือสังคมที่ครบครัน ซึ่งสมาชิกที่เตรียมตัวและถูกทดลองมาแล้วในอาณาจักรสวรรค์ระดับแรก จะได้เข้าไปเสวยสุขกับพระเป็นเจ้าตลอดไป หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป
ในที่นี้พระเยซูเจ้าพูดถึงอาณาจักรสวรรค์อันแรก และในอุปมาเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะพระองค์ต้องการชี้ทางให้มนุษย์ทราบว่าเขาจะต้องทำอะไร และเขาควรจะหวังอะไร ถ้าหากเขาอยากติดตามพระองค์ และตระเตรียมตัวให้เหมาะสมเพื่ออาณาจักรสวรรค์
หว่านข้าวพันธุ์ดี พระเยซูเจ้าเล่าอุปมาโดยใช้ตัวอย่างจากชีวิตกสิกรรม เมล็ดที่หว่านนั้น ไม่ปนกับเมล็ดหญ้าร้ายเลย
ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็ได้มาหว่านหญ้าร้ายทับลงไป เป็นวิธีการง่ายๆ ที่ศัตรูมักจะแก้แค้นศัตรูด้วยกัน เพื่อว่าข้าวสาลีที่หว่านได้แล้วจะได้ไม่บังเกิดผลเท่าที่ควร
เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏออกมาด้วย ชาวนาสังเกตเห็นข้าวละมานที่มีรวงคล้ายกับข้าวสาลีมาก จะแยกกันได้ก็ตอนออกเมล็ดเท่านั้น
ศัตรูมาหว่านไว้ ผู้หว่านทราบดีว่านาของเขาเป็นนาดี และเขาเองก็หว่านข้าวพันธุ์ดีลงไป ฉะนั้น เมื่อเห็นผลไม่ดีเข้า เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่านั่นเป็นการกลั่นแกล้งของศัตรู การกลั่นแกล้งชนิดนี้พบได้เสมอในประเทศตะวันออกไกล สมัยพระเยซูเจ้าและสมัยหลังๆ ด้วย ฉะนั้น ชาวนาไม่รู้สึกพิศวงอะไร
ให้เราไปถอนมันไหม ลูกจ้างอยากจะถอนข้าวละมานทิ้ง เพื่อว่าต้นข้าวสาลีจะได้เจริญงอกงามดีขึ้น และคงจะให้ผลมากขึ้นเพราะไม่ถูกแย่งปุ๋ยและน้ำเลี้ยงจากข้าวละมาน แต่ชาวนาทราบดีว่า ถ้าหากลูกจ้างถอนข้าวละมาน ข้าวสาลีก็จะบอบช้ำด้วย เพราะรากมันพันกันหรือมันชิดใกล้ ๆ กัน
ฤดูเก็บเกี่ยว เวลาเก็บเกี่ยวจะมีการแบ่งแยกกันอย่างแน่นอน หญ้าร้ายจะใช้เป็นเชื้อเพลิง ส่วนข้าวสาลีเขาจะเก็บไว้ในยุ้งฉาง เมื่อพวกอัครสาวกขอร้อง พระองค์ก็ทรงอธิบายความหมายของอุปมาให้พวกเขาฟัง (มธ 13:37-43)
บุตรแห่งมนุษย์ เป็นชื่อหนึ่งที่หมายถึงพระเมสสิยาห์ในพันธสัญญาเดิม และเป็นชื่อที่พระเยซูเจ้าใช้แทนตัวเองบ่อยๆ ในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญมัทธิว พระองค์เรียกตัวเองว่าบุตรมนุษย์ถึง 29 ครั้ง แต่บรรดาสานุศิษย์และประชาชนไม่เคยเรียกพระองค์ว่าบุตรมนุษย์เลย นี่พระองค์มักเรียกตัวเองว่าบุตรมนุษย์ บางทีพระองค์ต้องการจะเน้นว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ พระองค์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ และประทับอยู่ท่ามกลางเราเหมือนกับเราทุกอย่าง เว้นแต่พระองค์ไม่มีบาป (ฮบ 4:15)
ท้องนาก็คือโลก บุตรแห่งมนุษย์ หรือพระผู้ไถ่ที่พระเป็นเจ้าทรงสัญญาจะส่งให้มากอบกู้มนุษย์ให้พ้นจากบาปแต่โบราณกาลนั้นได้เสด็จลงมาในโลกเพื่อกอบกู้โลกทั้งหมด พระองค์ไม่ใช่เป็นพระเมสสิ-ยาห์สำหรับชาวยิวเท่านั้น แต่สำหรับมนุษย์ทุกรูปทุกนาม และทุกเวลาด้วย จนกว่าจะถึงวันที่พระองค์จะทรงเก็บเกี่ยว
บุตรแห่งอาณาจักรสวรรค์ ทุกคนที่ยินดีรับข่าวดี และพยายามใช้ทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอด จะเป็นทายาทของอาณาจักรสวรรค์ เป็นพี่น้องของพระเยซูเจ้าและเป็นบุตรบุญธรรมของพระบิดาเจ้า
บุตรแห่งคนชั่ว เปรียบเหมือนหญ้าร้าย พวกเขาเป็นลูกสมุนของมารร้าย
ศัตรู หมายถึง ปีศาจ ปีศาจเป็นทูตสวรรค์กบฏต่อพระเป็นเจ้า อยากเป็นใหญ่เท่าพระ เพราะความจองหอง ที่สุดก็ถูกโทษนรก ปีศาจเป็นจิตเช่นเดียวกับทูตสวรรค์และมีอำนาจมาก แต่จะต้องใช้อำนาจในวงจำกัดที่พระเป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ให้มัน (โยบ) ตั้งแต่ดั้งเดิมปีศาจเป็นศัตรูกับมนุษยชาติในสวนเอเดน มันได้ล่อลวงอาดัมและเอวาให้ทำบาปที่มันเคยทำนั่นแหละ คือมันสัญญาว่าบิดามารดาเดิมจะเป็นเหมือนพระเป็นเจ้า ถ้ากินผลไม้ที่พระเป็นเจ้าห้าม (ปฐก 3:1-6) ปีศาจพยายามล่อลวงมนุษย์ให้ออกห่างจากพระเป็นเจ้า และให้มนุษย์นมัสการพระเท็จเทียม พวกมันพยายามขัดขวางแผนการไถ่บาปของพระเยซูเจ้า เพราะมันกลัวว่ามนุษย์จะกลับไปหาพระหลังจากตกในบาปแล้ว มันได้ผจญแม้กระทั่งพระเยซูเจ้าเอง แต่แผนการของมันก็ล้มเหลวอย่างช่วยไม่ได้ (มธ 4:3-11) มันได้ล่อลวงให้ลูกสมุนของมันตรึงพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน (ยน 8:42-44) โดยที่มันไม่รู้มาก่อนเลยว่ากางเขนนั้นเป็นกุญแจที่ไขประตูเพื่อให้มนุษย์เข้าอาณาจักรสวรรค์ แม้ในปัจจุบันปีศาจก็ยังพยายามกีดขวางไม่ให้มนุษย์เข้าสวรรค์ อุปมาเรื่องนี้พูดถึงกิจการอันชั่วร้ายของมัน มันไม่สามารถหยุดยั้งความเจริญเติบโตและความก้าวหน้าของอาณาจักรสวรรค์ แต่ทำให้การเจริญเติบโตและการขยายอาณาจักรสวรรค์นั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพื่อแผนการอันนี้ มันจึงใช้ลูกสมุนของมันที่มันพยายามวางไว้ตามมุมมืดต่างๆ อย่างเงียบๆ ขณะที่ “มนุษย์เรากำลังหลับอยู่”
ภายใต้ความร้อนรนอันจอมปลอมเพื่ออาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า “บุตรของปีศาจ” ก็จะพยายามหว่านคำสอนที่ผิดๆ และการแตกความสามัคคี ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รอบคอบและที่น่ากลัวก็คือ เนื่องจากมันฉลาดมากกว่าเราที่จะรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร ผลงานของมันก็ปรากฏออกมาแล้ว ทั้งนี้ ก็เพราะมันเป็นศัตรูในรูปของเพื่อน หรือมันเป็นสุนัขป่าในคราบของลูกแกะ
การเก็บเกี่ยวนั้นก็คือวันสิ้นพิภพ พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยให้ปีศาจและลูกสมุนของมันล่อลวงและทดลองความซื่อสัตย์ของมนุษย์ อย่างไรก็ตามในวันพิพากษาพร้อมกัน บุตรแห่งพระราชัยจะได้รับความสุขตลอดนิรันดร ส่วนปีศาจและสมุนจะต้องโทษตลอดนิรันดร ณ ที่นั่นจะมีแต่การทรมานและความทุกข์ยาก ซึ่งเราไม่อาจจะบรรยายได้
ผู้เก็บเกี่ยวนั้นคือทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้าจะร่วมขบวนตามเสด็จพระเยซูเจ้าในวันพิพากษาพร้อมกัน (เทียบ มธ 24:31) และจะแยกคนชั่วออกจากผู้ใคร่ธรรม (เทียบ มธ 13:49)
ปีศาจและลูกสมุนจะถูกเหวี่ยงลงไปในขุมไฟ โศกนาฏกรรมของสมุนปีศาจก็เหมือนกับหญ้าร้าย พวกเขาจะถูกโยนลงไปในกองไฟ กล่าวคือ พวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานจนตลอดชั่วนิรันดร ตามวาทะของพระเยซูคริสต์เอง (มธ 25:41 เทียบ ลก 16:24)
การขบฟันด้วยความขุ่นเคือง เราพบสำนวนเดียวกันนี้ในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญมัทธิว ที่พูดถึงปฏิกิริยาของพวกคนชั่วเมื่อได้รับการตัดการตัดสินลงโทษ เขาร้องไห้เพราะเขารู้ว่าเขาต้องสูญเสียความสุขชั่วนิรันดร ส่วนที่เขาขบฟัน เพราะความทุกข์ทรมานต่างๆ ที่เขาจะต้องทน เพื่อจะช่วยเราให้พ้นจากหายนะประการนี้ พระเยซูเจ้าจึงยอมทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์บนกางเขนแล้วนั้น ผู้ใคร่ธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ เกียรติมงคลที่สมบูรณ์ของผู้ใคร่ธรรมจะเริ่มขึ้นหลังจากการพิพากษาพร้อมกัน วิญญาณของผู้ใคร่ธรรมจะรวมกับร่างกายที่ครบครันและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เนื่องจากเขาเห็นพระเป็นเจ้าต่อหน้า เขาเองก็จะรุ่งโรจน์ดังเช่นร่างกายของพระเยซูเจ้าบนภูเขาทาบอร์ (มธ 17:2)
อาณาจักรสวรรค์ของพระบิดาเจ้าของพวกเขา ผู้ใคร่ธรรมจะมีส่วนร่วมในความสุขในอาณาจักรสวรรค์ที่ครบครันที่สุด เป็นความสุขที่เขาได้ลิ้มรสขณะที่เขาอยู่ในพระศาสนจักรที่พระคริสตเจ้าทรงสถาปนาขึ้น เพราะว่าเขาได้ถือตามแบบฉบับของพระเยซูเจ้า และได้กลายเป็นพี่น้องของพระองค์ โดยอาศัยศีลล้างบาป เขาก็กลายเป็นลูกพระและเป็นทายาทอาณาจักรสวรรค์
ใครมีหูก็ฟังเอาเถิด อีกครั้งที่พระองค์ทรงเตือนสานุศิษย์ เหมือนกับที่พระองค์เคยเตือนชาวยิวให้เอาใจใส่ต่อคำสั่งของพระองค์ พยายามจดจำและปฏิบัติตาม
คำสอน
ในอุปมาเรื่องนี้ พระเยซูเจ้ามีพระประสงค์ที่จะสอนสานุศิษย์และบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ในสมัยแรกๆ เกี่ยวกับสภาพที่แท้จริงของพระราชัยสวรรค์ พวกเขามีความเข้าใจผิดๆ เพราะคิดว่าพระราชัยที่พระคริสตเจ้าได้ทรงสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินนี้จะต้องมีสมาชิกที่บริสุทธิ์ครบครันทั้งหมด และพวกเขายังเข้าใจผิดๆ ด้วยว่าพระคริสตเจ้าซึ่งอวดอ้างว่าเป็นพระเป็นเจ้า และพวกเขาเองก็เชื่อเช่นนั้น คงจะกำจัดปีศาจและลูกสมุนของมันให้ออกไปจากโลก แต่พระองค์ได้สอนเขาในอุปมาว่า แผนการของพระองค์ พระองค์จะเพียรทนต่อหญ้าร้าย กล่าวคือ ลูกสมุนของปีศาจ พระองค์ก็ให้โอกาสแก่พวกเขาที่จะกลับใจหันมาหาพระองค์ และเนื่องจากว่าปีศาจจะยังคงเป็นศัตรูของพระเป็นเจ้าเสมอไป และมันจะมีลูกสมุนตลอดไปเช่นกัน ฉะนั้น บุตรของพระเป็นเจ้าก็จำจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับการทดลองและการต่อสู้ บรรดาอัครสาวกยังไม่เข้าใจคำสอนนี้อย่างสมบูรณ์ จนกว่าพวกเขาจะได้รับพระคุณของพระจิตในวันพระจิตเสด็จลงมา
พระองค์ยังต้องการสอนคำสอนอันเดียวกันนี้แก่พวกเราด้วย “ใครมีหูก็ฟังเอาเถิด” พระองค์ตรัสกับเรา พระองค์ทรงปล่อยให้ปีศาจและลูกสมุนของมันล่อลวงและทดลองเราก็เพื่อผลประโยชน์และความดีของเราเอง พระองค์ใช้พวกมันเป็นเครื่องมือเพื่อให้เราสามารถพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของเราต่อพระองค์ และดังนี้เราก็สมจะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่เนื่องจากธรรมชาติของเราอ่อนแอ และเพราะความเห็นแก่ตัวของเรา เราแทบไม่อยากยอมรับเลยว่าความทุกข์ยากลำบาก การประจญล่อลวงนี้เป็นส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนที่สำคัญที่จะนำความรอดมาให้เรา พูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่ยอมรับว่า ความทุกข์ยากลำบากนี้จะเป็นบันไดให้เราไต่ไปสวรรค์ เราต้องการให้ทางที่จะนำเราไปสวรรค์นี้ปูลาดด้วยกุหลาบปราศจากหนาม แต่นี่ไม่ใช่แผนการของพระเป็นเจ้า เพราะพระเยซูเจ้าเองได้เคยตรัสไว้ว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา” (มธ 16:24) และพระองค์ยังตรัสด้วยว่า “ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา” (มธ 10:38) ฉะนั้น เราจะต้องมีความเพียรอดทน และต่อสู้กับความยากลำบากและการทดลองต่างๆ เมื่อเราได้รับชัยชนะนั่นแหละ เราจึงจะพิสูจน์ได้ว่าเราเป็นผู้ที่เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์ และคู่ควรกับพระเยซูเจ้า
ถ้าหากเราหันไปดูประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร เราคงจะเข้าใจคำสั่งของพระองค์ดีขึ้น ในสมัยโรมันเรืองอำนาจ พวกคริสตังก็ถูกเบียดเบียน ถูกฆ่า แต่ถึงกระนั้น คริสตศาสนาก็ได้แผ่กระจายไปทั่วจักรวรรดิโรมัน สมกับคำที่กล่าวว่าเลือดของมรณสักขีเป็นเชื้อของคริสตศาสนา ความคิดนอกลู่นอกทางที่ผิดๆ เกิดขึ้นในพระศาสนจักรหลายๆ สมัย ทำให้เราได้เข้าใจคำสอนที่เที่ยงแท้อย่างถูกต้อง แทบทุกศตวรรษ ปีศาจพยายามหว่านหญ้าร้ายลงไปปนกับข้าวสาลี เพื่อจะได้ไม่ให้ข้าวสาลีเจริญงอกงาม ตามที่ปรากฏภายนอกอาจจะได้ผลบ้าง แต่ในที่สุดข้าวสาลีก็จะเจริญเติบโต และบังเอิญมากกว่า ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่าสมาชิกแต่ละคนในพระศาสนจักรวางใจในพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าและเชื่อมั่นต่อคำมั่นสัญญาของพระองค์ ยินดีต่อสู้กับศัตรูโดยแบกกางเขนด้วยความพากเพียรและยินดีทุกวัน
เราทุกคนจะต้องแสดงบทบาทในนาของพระเป็นเจ้า กล่าวคือ ในพระศาสนจักรเราเปรียบเหมือนกับข้าวสาลีที่หญ้าร้ายล้อมรอบอยู่ทุกด้านที่คอยกีดขวางความเจริญก้าวหน้าของเรา อันตรายอันใหญ่หลวงที่เราจะต้องระมัดระวังก็คือ หญ้าร้ายนั้นอาจจะปลอมแปลงมาในรูปของเพื่อน เมื่อเราประสบความยากลำบากในชีวิต เป็นต้นในการถือตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า มันก็จะกระซิบที่หูของเราให้เราหาทางออกที่สบายๆ เช่น ธรรมชาติของเราอ่อนแอ บัญญัติของพระเป็นเจ้านั้นสูงเกินไปสำหรับเรา เรายังมีเวลาเหลืออีกมากมายที่จะจัดการกับชีวิตของเรา เวลานี้ปล่อยตัวตามความสนุกสบายของโลกก็ยังได้ เพราะพระเป็นเจ้าทรงพากเพียรและเมตตาต่อคนบาป ในสมัยนี้ไม่มีใครเขาเห็นคุณค่าของการพลีกรรมการทรมานกายใช้โทษบาปกันแล้ว เรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นของโบราณ พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาเพื่อความสุขมิใช่หรือ ถ้าเราพิจารณาดีๆ การผจญล่อลวงก็คงออกมาในรูปเดิมนั่นแหละ คือ เหมือนกับตอนที่ปีศาจล่อลวงเอวา “กินผลไม้เข้าไปเถอะ ท่านจะไม่ตายดอก” (ปฐก 3:1-5)
บางครั้งเราเห็นว่าการผจญล่อลวงต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องเหลวไหลไม่สมเหตุสมผล แต่ถึงกระนั้น หลายๆ คนก็พลาดพลั้งและพลอยเห็นดีและทำตามการผจญด้วย
โปรดอย่าลืมว่าปีศาจและลูกสมุนของมันกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้มนุษย์พินาศไป มันสัญญาจะให้อาณาจักรและความสนุกสนานประสาโลกให้แก่เรา ขอให้เราทิ้งพระเป็นเจ้าเท่านั้นก็พอ มันพยายามตกแต่งคำสัญญาของมันให้เป็นที่ถูกอกถูกใจมนุษย์ มันไม่ขอให้มนุษย์ทำบาปตรงๆ ดอก เพราะมันเข้าใจว่ามนุษย์คงไม่ทำบาปง่ายๆ แต่มันพยายามหาข้อแก้ตัวให้คนผิดเสมอ เช่น เพื่อสุขภาพของเราบ้าง เพื่อเสรีภาพ เพื่อสังคม เพื่อสวัสดิการในอนาคต เพื่อความสุข เพื่อชื่อเสียง ฯลฯ
อุปมาเรื่องนี้สอนบรรดาอัครสาวกและเราทุกคนว่า เราจะเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรที่ได้ชัยชนะแล้วไม่ได้ ถ้าหากเรายังไม่ได้พิสูจน์ว่าเราเป็นทหารหาญของพระศาสนจักรที่กำลังต่อสู้อยู่ในโลก และมงกุฎเพชรในสวรรค์นั้นสงวนไว้สำหรับคนที่พร้อมแล้วจะสวมมงกุฎหนามในโลกนี้