1. งานวิวาหมงคล
(มธ 22:2-14 เทียบ ลก 14:16-24)
คำอธิบาย
ชาวยิวทั่วๆ ไป เป็นต้นชาวฟาริสีตัดสินว่า มิใช่แต่เพียงพวกเขาจะได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น แต่พวกเขาจะได้ตำแหน่งดีๆ หรือเป็นหัวหน้าในอาณาจักรสวรรค์ด้วย ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระเมสสิยาห์นั้นบังเกิดมาในเชื้อชาติของพวกเขา ถ้าหากพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นพระบุตรพระเจ้าที่รอบรู้ทุกอย่างถือว่าภัยพิบัตินั้นรุนแรงมากจนกระทั่งว่า พระองค์ยอมรับความยากลำบากและทนทุกข์ทรมานเพื่อช่วยเรา ใครเล่าจะถือว่าภัยพิบัตินั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือดำรงชีวิตราวกับว่านรกไม่มี
แม้เราจะไม่สามารถเข้าใจถึงหายนะประการนั้นทั้งหมด อย่างไรก็ดีเราก็พอจะเข้าใจได้บ้าง เพราะเราทุกคนต่างก็เคยประสบความทุกข์ร้อนมาแล้ว ไม่ทางกายก็ทางใจ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน กระดูกหัก นอนไม่หลับ อัมพาต ฯลฯ และเขาก็พยายามหาหมอหรือหยูกยาเพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดนั้น แม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองก็ตาม
ถ้าหากแพทย์บอกเราว่าอีกไม่กี่วันก็หาย เราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว ถ้าหากความเจ็บปวดนั้นคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักจบสิ้น ถ้าหากไม่มียาชนิดใดที่จะบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง ถ้าหากเราต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นโดยไม่มีวันตายล่ะ เขาจะมีความรู้สึกอย่างไร
ในด้านความเสียหายก็เช่นกัน เราต่างก็มีความรู้สึกเสียดายมาแล้ว เช่น เราเสียใจและเสียดายที่บิดามารดา ญาติพี่น้อง หรือคนที่เรารักต้องตายพรากจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา แม้เราจะทราบว่าเขายังมีหวังในชีวิตหน้า และเรายังอาจจะพบกันในชีวิตหน้าก็ตาม ยิ่งกว่านั้น นานๆ ไปเราก็ลืมความรู้สึกประการนั้นได้ แต่ว่าเราจะเศร้าสักเพียงไร ถ้าหากว่าเราต้องพรากจากเขาเพราะความผิดพลาดที่เต็มใจของเขา
วิญญาณที่ต้องโทษในนรกจะทราบถึงความดีงามของพระเป็นเจ้าในวันพิพากษา เขาจะทราบอย่างแจ้งชัดว่า เขาสูญเสียบ่อเกิดขององค์คุณงามความดี และไม่ใช่ว่าเขาจะต้องพรากจากไปภายในวันสองวันหรือตลอดปี แต่ตลอดทั้งชั่วนิรันดร และมิใช่แต่สูญเสียพระเป็นเจ้าเท่านั้น เขายังจะต้องทนทุกข์ทรมานด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดเลย ที่เราอ่านพบนักบุญบางองค์ถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อคิดถึงโทษนรก และแม้แต่เพียงได้ยินคำว่า “นรก” เท่านั้น
ถึงกระนั้นก็ดี มีคริสตชนมากมายในสมัยของเรานี้ที่กำลังมุ่งไปสู่หายนะอันนั้น เขาได้เลือกดำรงชีวิตตามความสนุกสบายฝ่ายเนื้อหนัง เขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักร วัดวาไม่เคยเหยียบ การทำบุญทำทานเพื่อแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ก็ไม่เคยทำ การภาวนาแก้บาปรับศีลเป็นเครื่องมือช่วยให้เขาเอาตัวรอดก็ไม่เคยหยิบเอามาใช้ เนื่องจากเขาไม่มีเวลา เพราะต้องสาละวนกับโลกที่เขาถือว่าสำคัญกว่า เขาจะเป็นเหมือนเศรษฐีในอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส กว่าเขาจะสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังจะแก้ตัวด้วยว่าไม่มีใครเตือนเขาให้กลับใจ แต่เขาจะได้รับคำตอบว่า โมเสสและประกาศกได้กล่าวเตือนเขาแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขาก็เคยได้ฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าเองในพระคัมภีร์ และเป็นต้นในพระวรสาร ฉะนั้น ข้อแก้ตัวใดๆ ของเขาฟังไม่ขึ้นเลย
พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องนี้เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เนื่องจากการนับถือพระเป็นเจ้าแต่ภายนอก ความจองหอง และใจที่ผูกพันกับของของโลก พวกเขามิใช่แต่เพียงสูญเสียอภิสิทธิ์ในฐานะที่พวกเขาเป็นประชาชนที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้นอีก พวกเขาจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เพราะว่าพวกเขาได้จงใจตัดตัวเองออกจากอิสราเอลใหม่ กล่าวคือ พระศาสนจักรที่พระเยซูเจ้าทรงตั้งขึ้น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระศาสนจักรเท่านั้นเป็นประตูสวรรค์ (เทียบ ลก 14:16-24)
อย่างไรก็ดี บรรดาคนบาปและคนต่างศาสนา (คนที่อยู่ตามถนน) ที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์แทนชาวฟาริสีนั้น จะต้องประพฤติตนให้เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์จริงๆ เขาจะต้องสวมเสื้อวิวาห์ในงานเลี้ยงด้วย
พระราชาซึ่งจัดงานวิวาหมงคลเพื่อพระราชโอรส งานนี้เป็นงานมโหฬาร และแขกผู้ได้รับเชิญนั้นจะต้องถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ พระราชาคือพระบิดาเจ้า ราชโอรสคือพระเยซูเจ้า และวิวาหมงคลนั้นเป็นการสมรสระหว่างพระเยซูเจ้าและเจ้าสาวของพระองค์ กล่าวคือพระศาสนจักร
คนใช้ที่พระราชาส่งออกไปเพื่อเชื้อเชิญผู้ที่ได้รับเชิญแล้ว แสดงให้เห็นว่าพระราชาเคยเชิญมาก่อนแล้ว และพวกแขกก็ได้ตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยง แต่พองานวิวาหมงคลคืบคลานใกล้เข้ามา แขกผู้รับเชิญต่างปฏิเสธที่จะมา นับตั้งแต่พระเป็นเจ้าทรงเรียกอับราฮัม (ประมาณ 1850 ปีก่อนคริสตกาล เทียบ ปฐมกาล 18:18) พระองค์ก็ได้ทรงเชื้อเชิญชาวยิวให้เข้ามาในพระราชัยของพระเมสสิ-ยาห์ บรรดาประกาศกในพันธสัญญาเดิมก็ได้เชื้อเชิญชาวยิวตลอดมาทุกยุคทุกสมัย แต่พอพระเยซูเจ้าปรากฏมา ชาวยิวไม่ได้ต้อนรับพระองค์ (เทียบ ยน 1:11)
พระราชาได้ส่งพวกคนใช้ไปอีกครั้งหนึ่ง พระราชาทรงพระพิโรธ เพราะพวกแขกไม่ใยดีต่อคำเชื้อเชิญ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงประกอบด้วยพระทัยเมตตา พระองค์จึงได้ทรงส่งคนใช้ออกไปเชิญใหม่ คนใช้พวกแรกได้แก่ประกาศกในพันธสัญญาเดิม พวกที่สองก็ได้แก่พวกอัครสาวก พวกสาวกได้ประกาศว่างานวิวาหมงคลพร้อมแล้ว กล่าวคือ อาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว
แต่พวกเขาไม่สนใจ บรรดาแขกต่างคนต่างก็ไปทำธุระของตน พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับพระราชา หรืออาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ ผู้ที่ได้รับเชิญบางคนร้ายกว่านั้นอีก พวกเขาได้ข่มเหงทำร้ายและได้ฆ่าพวกคนใช้ ถ้าหากเราอ่านกิจการอัครสาวก เราจะเข้าใจข้อความตอนนี้ได้ดี เพราะอัครสาวกหลายๆ องค์ได้ถูกเบียดเบียน ถูกเฆี่ยนตี และถูกจับใส่คุก และที่สุดสานุศิษย์บางองค์ได้ถูกฆ่า เช่นสเตเฟน เป็นต้น
เมื่อพระราชาได้ทราบข่าว ผู้ที่เข่นฆ่าคนใช้ของพระราชาก็ต้องโทษด้วย พระราชาได้ทรงส่งกองทัพของพระองค์ไปทำลาย บรรดาฆาตกร และได้เผาเมืองของพวกเขา อุปมานี้อาจจะเป็นคำพยากรณ์ของพระเยซูเจ้าก็ได้
จากประวัติศาสตร์ เราทราบว่า ในปี ค.ศ. 70 กองทัพโรมัน ภายใต้การนำของตีตัส ได้บุกรุกกรุงเยรูซาเล็ม ทำลายและเผาเมือง
ผู้ที่ได้รับเชิญนั้นไม่เหมาะสม ไม่ใช่พระราชาต้องการขจัดพวกเขา แต่เพราะว่าพวกเขาทำตัวไม่เหมาะสมกับการเลี้ยง เนื่องจากความชั่วช้าของพวกเขา
จงไปตามทางแยก เนื่องจากชนชั้นนำไม่สนใจ และงานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว พระราชาจึงมีพระบัญชาให้คนใช้ออกไปเชื้อเชิญคนตามถนนหนทางซึ่งเป็นสามัญชน และไม่มีตำแหน่งที่สำคัญในสังคม
พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด ผู้ส่งข่าวของพระเจ้าแผ่นดิน (บรรดาอัครสาวก) ได้ออกไปตามถนนหนทาง เพื่อไปประกาศว่าพระราชาได้จัดงานเลี้ยงไว้แล้ว กล่าวคือ ไปประกาศพระวรสารในดินแดนต่างศาสนาว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงสถาปนาพระ-ศาสนจักรแล้ว ประชาชนเหล่านั้นต่างก็รีบมาในงานเลี้ยงด้วยความ ปิติยินดี พวกเขาได้สมัครใจมาเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูเจ้า และได้กลายเป็นประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรแทนพวกฟารีสี ผลก็คือ งานวิวาหมงคลนั้นก็เต็มไปด้วยแขก เราควรจะจดจำไว้เสมอว่า พระเป็นเจ้าทรงมีแผนการจะช่วยคนต่างศาสนาให้เข้าในอุระของ ศาสนจักร แม้ว่าชาวฟาริสีจะมีท่าทีอย่างไรต่อพระวรสาร อุปมาเรื่องนี้ต้องการเน้นว่าพระเป็นเจ้าทรงทอดทิ้งชาวฟาริสีที่จองหอง และพระองค์บันดาลให้คนต่างศาสนาที่ถูกเหยียดหยามจากชาวฟาริสีนั้นเข้าแทนที่ชาวฟาริสีเองในอาณาจักรสวรรค์
คนหนึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่ถือว่าตอนนี้เป็นการเปรียบเทียบเรื่องใหม่ แต่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอุปมาเรื่องที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เพราะว่าในอุปมาเรื่องหลังนี้ก็มีทั้งคนดีและคนชั่วที่มาจากถนนหนทาง อุปมาเรื่องหลังนี้ต้องการอธิบายว่า แม้คนที่ถูกเชื้อเชิญแล้ว ถ้าหากดำเนินชีพไม่เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์ก็จะต้องโทษด้วย
เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร แน่นอน ในงานเช่นนี้แขกแต่ละคนจะต้องสวมเสื้อสำหรับงานวิวาหมงคลที่เขาคงจะหามาได้ไม่ยากนัก เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพซึ่งเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน มิฉะนั้น พระราชาคงจะไม่ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่ได้รับเชิญจากผู้นั้น การที่เขาไม่สวมเสื้อที่เหมาะสมกับโอกาสแสดงว่าเขาขาดความนับถือต่อเจ้าภาพ แต่เขาเงียบ ผู้นั้นไม่ได้โต้ตอบป้องกันตัว แสดงว่าเขายอมรับผิด และไม่อยากแก้ตัว การที่พระทรงเรียกคนต่างศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วมในพระ-ศาสนจักรนั้น ต้องถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ทีเดียว ถ้าหากบางคนทำตัวไม่สมกับเกียรติยศอันนั้น ทั้งๆที่เขาอาจจะดำรงชีวิตตามหลักพระวรสารได้ไม่ยากนัก เพราะพระเป็นเจ้าทรงประทานพระหรรษทานที่จำเป็นแก่เขา ถ้าหากเขาต้องโทษ ก็ต้องถือว่าเป็นเพราะความผิดของเขาเอง เขาจะโทษใครไม่ได้
จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด คนที่แต่งตัวไม่เหมาะสมในงานวิวาหมงคลจะอยู่ร่วมทานเลี้ยงกับแขกอื่นๆ ไม่ได้ฉันใด คนบาปหรือคนที่ไม่มีคุณธรรมก็จะเข้าสวรรค์ไม่ได้ฉันนั้น การมัดมือและเท้าของผู้ผิด แสดงว่าผู้ที่ขาดความนับถือต่อพระราชานั้นจะหนีจากอาชญาโทษไม่พ้น ความมืดภายนอกและการขบฟันด้วยความขุ่นเคือง หมายถึงการสูญเสียความสุขและได้รับความทุกข์ทรมาน
ผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย ทุกคนที่ถูกเรียกได้รับพระหรรษทานเพียงพอจากพระเป็นเจ้าเพื่อเอาตัวรอด ถึงกระนั้น จากอุปมาบางคนอาจจะไม่ร่วมมือกับพระหรรษทานเพราะความผิดของเขาเอง เขาจึงต้องรับโทษ
คำสอน
ชาวฟาริสีนั้นดูเหมือนว่าเป็นคนโง่แกมหยิ่ง เนื่องจากไม่อยากฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้า พระองค์เปิดโอกาสให้เขาได้เปลี่ยนชีวิตจากความจองหอง พระองค์พร้อมที่จะอภัยโทษให้แก่พวกเขา ถ้าหากพวกเขากราบขอสมาโทษจากพระองค์เหมือนกับคนบาปอื่นๆ ทั้งหลาย เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็ม เจ้าเคยฆ่าบรรดาประกาศกแล้วเอาหินทุ่มบรรดาผู้ที่รับใช้มาหาเจ้า กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เราได้พยายามรวบรวมลูกหลานของเจ้าเหมือนกับแม่ไก่ปกป้องลูกๆ ของมันไว้ใต้ปีก แต่เจ้าก็ไม่ยอมเลย (มธ 23:37) นักบุญเอากุสตินกล่าวไว้ว่า “พระเป็นเจ้าได้ทรงสร้างเราโดยปราศจากความร่วมมือของเรา แต่พระองค์ไม่สามารถช่วยเราให้เอาตัวรอดได้ โดยที่เราไม่ร่วมมือกับพระองค์” เราอาจจะทำผิดเช่นเดียวกับชาวฟาริสี เราได้รับการเชื้อเชิญให้มาในงานวิวาหมงคล ที่จริงเราอยู่ในห้องทานเลี้ยงแล้ว เพราะเราได้รับศีลล้างบาปและอยู่ในพระศาสนจักรแต่ว่าเรายังคงสวมเสื้อวิวาห์ที่เราได้รับเวลารับศีลล้างบาปหรือเปล่า ถ้าหากเราไม่ได้สวมหรือว่าเราทำให้เสื้อนั้นเปื้อนด้วยบาปต่างๆ ของเรา เราก็ไม่ดีกว่าผู้รับเชิญอื่นๆ ที่ไม่ใยดีต่อคำเชื้อเชิญของพระเป็นเจ้า พระราชาอาจจะเข้ามาในงานเมื่อไรก็ได้ และขับไล่คนที่ไม่สวมเสื้อวิวาห์ออกไปเสียข้างนอกต่อหน้าธารกำนัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อัปยศอดสูที่สุด
การที่เราเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรบนแผ่นดินนี้นับว่าเป็นอภิสิทธิ์และเราก็มั่นใจได้ว่าเราอยู่ในหนทางแห่งความรอด ถ้าหากเราพร้อมที่จะร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า แต่อุปสรรคชนิดเดียวกับที่เคยหันเหชาวฟาริสีออกจากประตูสวรรค์ เช่น ความจองหอง การนับถือศาสนาแต่ภายนอก การผูกพันกับข้าวของของโลก การปล่อยตัวตามความสนุกฝ่ายเนื้อหนัง การทำตามน้ำใจของตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้อาจจะเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เราไม่ได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ นอกจากว่าเราจะต้องตื่นเฝ้าและระวังตัวเราเองอยู่เสมอ โลกพร้อมกับอบายมุขต่างๆ อยู่ใกล้เรามาก สวนสวรรค์นั้นอยู่ไกลเรามากและมองไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้น เราจะต้องพร้อมที่จะต่อสู้กับการประจญต่างๆ เป็นต้น จะต้องต่อสู้กับตัวเราเอง และเมื่อได้ชนะตัวเราเองนั่นแหละ เราจึงจะพิสูจน์ได้ว่าเราสมกับอาณาจักรสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ หมายความว่าเราจะต้องแบกกางเขนทุกวัน จะต้องต่อสู้กับความลำเอียงไปในทางชั่วหรือจะต้องต่อสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำของเรา ความพยายามที่จะรักพระเป็นเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ ถูกแล้วเป็นเรื่องยาก แต่พระคริสตเจ้าก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระองค์ได้เป็นผู้นำ และคนจำนวนล้านๆ ได้ติดตามพระองค์ไปสู่ความสุขตลอดทั้งชั่วนิรันดร พระองค์ได้ทรงเรียกเราแต่ละคนด้วย และได้ประทานพระหรรษทานที่พอเพียงให้แก่เรา ถ้าหากเราไม่รู้จักใช้พระคุณของพระเพื่อความรอดของเรา ถ้าหากพระองค์พบว่าเราไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาหมงคล เราจะไปโทษใครนอกจากตัวเราเอง เราจะก้มหน้าจะนิ่งเงียบเหมือนแขกคนนั้น และเราจะต้องรับโทษเช่นเดียวกัน โปรดสำนึกไว่ว่า พระเป็นเจ้าทรงเรียกเราเหมือนกับคนอื่นๆ ทั้งหลาย ฉะนั้น เราก็จะต้องอยู่ในจำนวนผู้ได้รับการเลือกสรรด้วย