1. การสะสมทรัพย์สมบัติ
(ลก 12:16-21)
คำอธิบาย
ขณะนั้น ฝูงชนเป็นอันมากต่างก็เบียดเสียดเข้ามาฟังพระวาจาของพระเป็นเยซูเจ้า (ลก 12:16-21) พระองค์ได้ตรัสสอนพวกเขาว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณสำคัญที่สุด ชีวิตชั่วครู่ชั่วยามในโลกนี้ไม่มีความหมายอะไร เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตชั่วนิรันดร การผจญ การทดลอง ความยากลำบากต่างๆ จะผ่านเข้ามาในชีวิตของคริสตชนบนแผ่นดินนี้ แต่มันจะมีความหมายอะไรเมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานอันไม่รู้จักจบสิ้น พระบิดาเจ้าผู้ทรงมีพระทัยเมตตากรุณาอันหาขอบเขตมิได้จะทรงช่วยเขาให้ได้รับความปลอดภัยจากการผจญต่างๆ ถ้าหากเขาซื่อสัตย์ต่อพระองค์และวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระองค์ “อย่าเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายและหลังจากนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก เราจะชี้ให้ท่านเห็นว่าท่านต้องเกรงกลัวผู้ใด จงเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าแล้วยังมีอำนาจโยนท่านลงไปในนรกด้วย ใช่แล้ว เราบอกท่านทั้งหลาย จงเกรงกลัวผู้นี้เถิด นกกระจอกห้าตัวราคาขายสองบาทมิใช่หรือ แม้กระนั้นไม่มีนกสักตัวเดียวที่พระเจ้าทรงลืม ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก” (ลก 12:4-7)
ระหว่างที่พระองค์กำลังตรัสสอนฝูงชนเกี่ยวกับเรื่องชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้น ได้มีคนขอร้องให้พระเยซูคริสต์ตัดสินให้พี่ชายของเขาแบ่งมรดกให้เขา ความคิดของเขายังหมกมุ่นอยู่กับมรดกฝ่ายของของโลก เขาไม่มีเวลาจะคิดถึงชีวิตฝ่ายวิญญาณ เพราะเขากำลังแก่งแย่งมรดกที่บิดาผู้ล่วงลับไปแล้วทิ้งไว้ให้ เขาอาจจะเป็นฝ่ายถูก หรือพี่ชายอาจจะเป็นฝ่ายถูกก็ได้ อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้าไม่ได้ตัดสินใจให้เขา โดยตรัสว่า “มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเราเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นผู้แบ่งมรดกของท่าน” แล้วพระองค์ก็ทรงฉวยโอกาสเตือนฝูงชนอย่าได้เป็นคนโลภหรือเอาใจฝักใฝ่ต่อของของโลกจนเกินไป เพราะว่าชีวิตมนุษย์นั้นไม่ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งของทรัพย์สมบัติ ชีวิตที่แท้จริง ชีวิตนิรันดรนั้น จะซื้อด้วยทรัพย์สมบัติไม่ได้ ที่จริงคนที่มีใจโลภมากและคนที่หมกมุ่นอยู่กับทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกอย่างเดียวกำลังเสี่ยงที่จะเสียชีวิตนิรันดร เพื่อจะให้ผู้ฟังเข้าใจแจ้งชัดยิ่งขึ้น พระองค์จึงได้ทรงตรัสเล่าอุปมาเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐีที่โง่เขลาซึ่งจะสูญเสียความสุขทั้งชั่วนิรันดร เนื่องจากเขามีจิตใจจดจ่ออยู่กับของของโลกมากเกินไป
เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก แน่นอนผลิตผลนี้เป็นของเขาเองตามความยุติธรรม เพราะแผ่นดินให้ผลมาก การที่เขามีทรัพย์สมบัติมากมายจึงไม่ใช่ความผิดอะไร แต่เขามีความผิดตรงที่ว่าเขาไม่รู้จักใช้ทรัพย์สมบัติให้เป็นประโยชน์ต่อวิญญาณของเขา แต่เพื่อความพินาศมากกว่า เขาลืมคิดไปว่าทรัพย์สมบัติที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้เขานั้นไม่ใช่เพื่อให้เขาติดอกติดใจ หรือจับจ่ายใช้สอยอย่างตระหนี่และเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว แต่ว่าเพื่อเขาจะได้ใช้ทรัพย์สมบัตินั้นทำบุญทำทานอย่างใจกว้างเมื่อมีโอกาส
ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน ปัญญาของเขาเกิดจากความโลภมากและความเห็นแก่ตัว เขาคิดแต่จะเก็บพืชผลไว้สำหรับเขาแต่คนเดียว สถานที่สำหรับเก็บพืชผลก็เก็บแล้ว แต่จิตใจที่ตระหนี่ยังไม่เก็บ ยังต้องการเพิ่มขึ้นอีก นักบุญอัม-โบรซีโอ ได้เคยพูดว่า “พวกท่านยังมียุ้งฉางอีก กล่าวคือ หัวอกคนจน บ้านหญิงม่าย สถานเด็กกำพร้า” แต่สิ่งที่นักบุญอัมโบรซีโอเคยคิดนั้นจะไม่มีโอกาสผ่านเข้ามาในความคิดของคนตระหนี่และเห็นแก่ตัวด้วย
จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม การแก้ปัญหาของเขาเข้ากับความโลภและความเห็นแก่ตัว เขายอมลงทุนยอมลำบากรื้อยุ้งเก่าและสร้างใหม่ แทนที่จะแจกจ่ายของที่เหลือเฟือนั้นให้เพื่อนบ้านที่ยากจนและต้องการความช่วยเหลือจากเขา
เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี เขาพูดกับวิญญาณที่ไม่รู้ตายว่า วิญญาณนั้นจะได้รับความสุขจากของของโลกนี้ ซึ่งถือเป็นของแปลกมาก เพราะวิญญาณของเราจะไม่อิ่มเอิบใจกับของของโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่มั่นคงเลยเป็นอันขาด
จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด ความสนุกและความสะดวกสบายฝ่ายเนื้อหนังเป็นจุดประสงค์ของความปรารถนาของคนนี้ เขาคิดว่าเขาคงจะมีความสุขตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่นั้น แม้เขาจะปรากฏว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องในสายตาของชาวโลก เขากลายเป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญาที่สุด เพราะเขาลืมไปว่าเขาจะต้องตาย และขณะที่เขากำลังเสวยความสุขอย่างสนุกสนานนั้น พระเป็นเจ้าก็จะทรงคิดบัญชีกับเขา
พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป” เป็นคำที่หนัก แต่เป็นคำพูดของพระเป็นเจ้า และพระองค์ทราบดีว่า พระองค์ใช้คำพูดนั้นถูกต้องและเหมาะสมกับโอกาสแล้ว เขาเป็นคนโง่จริงๆ และเขาจะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าเขาเป็นเช่นนั้นจริง เขาได้เสียสละชีวิตของเขาทำการงานหามรุ่งหามค่ำเป็นเวลานานปี เพื่อจะสะสมทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกซึ่งเขาจะต้องละทิ้งมันในทันที และต่อจากนั้นเขาก็จะเริ่มชีวิตใหม่โดยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือเขาไปด้วยเลย เพราะขาดการเตรียมตัว เพราะความสาละวนวุ่นวายอยู่กับของของโลก เขาจึงลืมสวรรค์เสียสิ้นเชิง เขาไม่เคยคิดถึงผู้ที่ประทานทรัพย์สมบัติให้แก่เขา และบัดนี้ เขาก็ต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้ที่เคยประทานทรัพย์สมบัตินั้นให้แก่เขาโดยกะทันหัน และเขาจะต้องให้การต่อท่านผู้นั้นถึงชีวิตที่แล้วๆ มา และข้าวของต่างๆ ที่เจ้าได้สะสมมาจะเป็นของใครเล่า เป็นคำถามที่เขาจะต้องรู้สึกเสียใจ ความโศกเศร้าระทมทุกข์จะทับถมเขามากขึ้น เมื่อคิดว่าตลอดทั้งชีวิตเขาได้ใช้เวลาทำงานนั้นโดยไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิดสำหรับวิญญาณของเขา และเขาจะต้องจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปประหนึ่งว่าเขาไม่เคยเป็นเจ้าของมันเลย ความทรงจำในอดีตทำให้เขาต้องเศร้าใจมากยิ่งขึ้น
คนที่สะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองก็เป็นดังนี้แหละ เขาไม่ได้เป็นเศรษฐีเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า เมื่อเล่าจบ พระองค์ก็สรุปคำสอนสั้นๆ ดังนี้ และทรงเตือนฝูงชนทั้งหลายไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างของชายโง่ในอุปมานั้น ซึ่งยอมเสียสละทั้งกายใจเพื่อของของโลก มิฉะนั้น พวกเขาก็จะต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกัน แต่ว่าให้พวกเขาสะสมทรัพย์สมบัติทางด้านวิญญาณ ซึ่งจะทำให้เขาเป็นเศรษฐีเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า และดังนี้เขาก็สมจะเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์เพื่อพระเป็นเจ้าจะได้ทรงตัดสินเขาตามบาปบุญคุณโทษ
คำสอน
พระเยซูเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะสอนเรานั้นชัดแจ้งมากใช้ได้ แต่การนำเอาไปปฏิบัติค่อนข้างจะยาก เช่น การที่จะอยู่ในโลกนี้โดยที่เราจะต้องไม่ติดอกติดใจกับโลก การประกอบอาชีพโดยซื่อสัตย์เพื่อสะสมเงินทองไว้ใช้ในเวลาจำเป็น แต่ในเวลาเดียวกันก็จะต้องใช้เงินนั้นอย่างถูกต้องและไม่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้มักจะขัดกับธรรมชาติหรือความโน้มเอียงของเรา แต่ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราก็ย่อมทราบว่าหนทางที่พระเยซูเจ้าได้ทรงชี้ให้เราเดินเพื่อบรรลุถึงสวรรค์นั้น ไม่ใช่หนทางที่ปูลาดด้วยกุหลาบ เป็นหนทางกางเขน “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา” (มธ 16:24) ถ้าหากมีหนทางที่ง่ายกว่านี้ พระอาจารย์เจ้าผู้ทรงพระทัยดีก็คงจะบอกเราแล้ว แต่พระองค์ก็ทรงชี้เพียงทางเดียวเท่านั้น คือหนทางที่มีหินขรุขระที่นำไปสู่เนินกัล-วารีโอ คริสตชนจำนวนมากมายได้เข้าใจความจริงข้อนี้อย่างแจ่มแจ้ง หลายๆ คนได้เสียสละแม้กระทั่งสิ่งจำเป็นในชีวิต และความสะดวกสบายโดยสมัครเป็นนักบวชถือศีลบนอย่างเคร่งครัด และมอบความไว้ใจทั้งหมดในพระเป็นเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นอิสระในการรับใช้พระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ หลายคนได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกได้ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว และบางคนอาจจะมีฐานะดีด้วยซ้ำไป แต่ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็ไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับเขาเลยในการดำรงชีวิตที่สนิทชิดเชื้อกับพระเป็นเจ้า เพื่อจะปฏิบัติตนเองถึงขั้นนั้นไม่ใช่เป็นของง่าย แต่พระหรรษทานของพระเป็นเจ้าก็พร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือผู้มีน้ำใจดี
แต่ก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่ดำเนินชีวิตเหมือนกับเศรษฐีที่โง่เขลาในอุปมา พยายามแสวงหาทรัพย์สมบัติหามรุ่งหามค่ำ โดยไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะต้องถูกฝังโดยไม่มีอะไรติดตัวไป เขาอาจจะไม่มีทรัพย์สมบัติมากมายจนกระทั่งต้องสร้างยุ้งใหม่ แต่จิตใจของเขาก็จดจ่อกับทรัพย์สมบัติของโลกจนเขาไม่มีเวลาเพื่อเอาใจใส่เรื่องวิญญาณของเขา ซึ่งเราจะทราบว่ามันสำคัญมากก็สายไปเสียแล้ว ที่จริงการจากโลกนี้ไปไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว นอกจากว่าเขาเตรียมตัวไม่พร้อมเท่านั้น เขาเคยได้ยินคำพูดถึงโลกหน้าบ่อยๆ แต่เขาไม่เคยสนใจ และคิดว่ายังมีเวลาอีกมากมายที่จะจัดการกับชีวิตของเขา นี่แหละเป็นโศกนาฏกรรมของชายหญิงที่โฉดเขลาจำนวนมากในอดีต และคงจะเป็นเช่นนี้ในอนาคตด้วย และอาจจะเป็นหายนะของเราด้วย ถ้าหากเราไม่ระวังตัวและปล่อยตัวตามความหลอกลวงของโลก เราจะต้องระลึกไว้เสมอว่า เราจะต้องไม่ประสบชะตากรรมของเศรษฐีที่โง่เขลาในอุปมานั้น