2. จงมีความระมัดระวังและเตรียมพร้อม
(ลก 12:39-40 เทียบ มธ 24:43-44, มก 13:35)
คำอธิบาย
พระเยซูคริสตเจ้าทรงเปลี่ยนการเปรียบเทียบ พระองค์ได้ทรงเปรียบเทียบการเสด็จมาของพระองค์กับการมาโดยไม่รู้ตัวของขโมย
ถ้าเจ้าของบ้านได้ทราบว่าขโมยจะมาเวลาใด โดยปกติขโมยจะไม่ยอมบอกให้เจ้าของบ้านรู้ตัวล่วงหน้าเลยเป็นอันขาด และจะไม่ยอมแพร่งพรายความลับให้ใครทราบเลย เจ้าของบ้านก็เช่นกัน ถ้าหากเขามีโอกาสรู้ระแคะระคายว่าขโมยจะมาที่บ้านเขา เขาจะต้องตื่นเฝ้าอย่างแน่นอนที่สุด และเขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยเจาะเข้าบ้านเขาได้ ในสมัยพระเยซูเจ้า ชาวปาเลสไตน์สร้างบ้านแบบง่ายๆ ปกติกำแพงทำด้วยดินเหนียว ฉะนั้น ถ้าขโมยจะใช้ดาบเจาะก็สามารถเข้าบ้านได้อย่างง่ายดาย และโดยที่เจ้าของบ้านไม่รู้สึกตัวด้วย ฉะนั้น ถ้าหากเจ้าของบ้านต้องการอยู่ยามจะต้องตื่นเฝ้าอยู่เสมอ
ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย พระเยซูเจ้าทรงพระประสงค์จะสอนผู้ที่ฟังพระองค์ว่า เจ้าของบ้านจะต้องเฝ้าระมัดระวังทรัพย์สมบัติให้พ้นจากขโมยฉันใด ผู้ติดตามพระองค์ก็ต้องพร้อมที่จะพบพระตุลาการฉันนั้น
ในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย พระเป็นเจ้าจะเสด็จมาพบเราสองครั้ง คือเมื่อเราจะสิ้นใจ พระองค์จะทรงตัดสินเราครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาพิพากษามนุษย์ในวันสิ้นพิภพ วันเวลาไม่มีใครทราบได้ ในที่นี้ พระองค์ก็ได้ทรงพูดถึงการเสด็จมาในครั้งแรก ซึ่งพระองค์จะทรงตัดสินเราตามบาปบุญคุณโทษ อนึ่ง หลังจากเราสิ้นใจแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทรงเตือนให้เราตื่นเฝ้า เพราะหมดเวลาทดลองแล้ว
คำสอน
การที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเตือนแล้วเตือนเล่า ให้ผู้ที่สมัครติดตามพระองค์ได้ระลึกไว้เสมอว่า พวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมเสมอเพื่อจะได้พบพระองค์ในฐานะเป็นผู้พิพากษานั้น แสดงให้เห็นว่า พระองค์ก็ทรงทราบถึงธรรมชาติอันอ่อนแอของมนุษย์ได้ดี คริสตังทุกคนไม่ว่าชายหญิงทราบดีว่าชีวิตโลกนี้สั้น และโชคชะตาของเขาก็ขึ้นกับชีวิตนี้ เขาทราบดีว่าชีวิตนิรันดรขึ้นอยู่กับความตายของเขา กล่าวคือ เขาจะจากโลกไปในฐานะผู้ใคร่ธรรมหรือในฐานะเป็นศัตรูกับพระเป็นเจ้า เขาทราบอย่างดีว่าความตายไม่เลือกอายุ หลายๆ ครั้งความตายมาถึงอย่างกะทันหัน ไม่มีโอกาสได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวเลย ฉะนั้น คริสตังที่มีสติสัมปะชัญญะทั้งหลายย่อมสรุปได้ว่า ความสุขหรือความทุกข์ชั่วนิรันดรนั้น ขึ้นอยู่กับวาระที่เขาจะต้องจากโลกนี้ไปปรากฏตัวเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า แม้เขาจะได้ทราบทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ แต่ความเป็นจริงคริสตังเป็นอันมากก็ไม่ได้เตรียมตัวอย่างดี ในการดำรงชีวิตขณะเขาอยู่ในโลกนี้ คนเป็นจำนวนมากมีความฉลาดรอบคอบเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ไม่ว่าจะเป็นการกอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋า หรือเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพของเขา การรักษาตำแหน่งหน้าที่ แต่ประพฤติตนราวกับเด็กที่ไม่มีความคิดเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณ
ไม่มีใครโง่พอที่จะพูดได้ว่าเขาคงไม่ตาย ถึงกระนั้นมีกี่คนที่คิดถึงความตาย ทุกคนต่างก็มีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และญาติพี่น้อง เขาได้จากเราไปทีละคนๆ เขาทราบด้วยว่าพวกเขาตายด้วยโรคอะไร แต่เราก็ยังคิดเสมอว่าเราแข็งแรงดีและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อนึ่ง เมื่อเราทราบว่าเราจะต้องตายแน่ แต่เมื่อไรนั้น เราไม่ทราบแน่ เราจึงต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะชีวิตนิรันดรขึ้นกับความดีของเรา
บางคนอาจจะคิดว่าทำไมพระเป็นเจ้าไม่ทรงบอกเราล่วงหน้าว่าเราจะตายเมื่อไร เราจะได้เตรียมตัวดี ถ้าหากเราคิดถึงธรรมชาติอันอ่อนแอของมนุษย์ เราคงตอบได้ ถ้าหากเรารู้วันตายของเราก็คงจะมีคนเป็นจำนวนมากปล่อยตัวตามราคะตัณหาในขณะที่มีชีวิตอยู่ และโลกของเราจะเป็นอย่างไร จะมีสักกี่คนที่จะใช้เวลาปรนนิบัติพระเป็นเจ้า ในเมื่อทราบว่าความตายยังอยู่ห่างไกลจากเขาเหลือเกิน เขาคงจะคิดกลับใจก็ในวินาทีสุดท้ายนั่นแหละ ทั้งๆ ที่เขาไม่แน่ใจว่าพระเป็นเจ้าจะประทานพระหรรษทานให้เขาได้กลับใจอย่างแท้จริงหรือไม่ ก่อนที่เขาจะสิ้นใจ เป็นไปได้ไหมที่คนหนึ่งได้ใช้ชีวิตห่างเหินจากพระเป็นเจ้าแทบตลอดชีวิต จะกลับใจอย่างแท้จริงภายในไม่กี่นาทีก่อนจะสิ้นใจ ถูกแล้ว เป็นไปได้ แต่ก็ยากทีเดียว เพราะต้นไม้เมื่อเอียงไปทางไหนก็จะล้มทางนั้น นอกจากจะมีพายุจัด กล่าวคือ นอกจากเขาจะได้รับพระหรรษทานเป็นพิเศษ ซึ่งพระเป็นเจ้าไม่ได้เคยทรงสัญญาไว้กับคนชนิดนั้นเลย สวรรค์เป็นบำเหน็จรางวัลสำหรับผู้ที่ใช้เวลาอย่างซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ฉะนั้น การที่พระเป็นเจ้าไม่ทรงพอพระทัยเปิดเผยวันตายให้แก่เรานั้น ก็เพื่อประโยชน์ของเราเอง เราจะได้เตรียมพร้อม โดยพยายามหลีกเลี่ยงบาปและบำเพ็ญบุญกุศล เพื่อเราจะได้พบพระตุลาการด้วยความหวังและเพื่อเราจะได้เอาตัวรอดไปสวรรค์
บางคนจะแย้งว่า พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงขอร้องมากไปหน่อยดอกหรือ มนุษย์เราจะต้องคุกเข่าภาวนา คิดถึงแต่เรื่องฝ่ายวิญญาณตลอดโดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องปากเรื่องท้องเลยได้หรือ แน่นอนที่สุด พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงขอร้องให้เราทำเช่นนั้น แต่พระองค์ทรงเรียกร้องให้เราปฏิบัติต่อหน้าที่ประจำวันของเราด้วยความซื่อสัตย์
การทำมาหากินหรือการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันของเรานั้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับบันได ถ้าหากเราใช้มันอย่างถูกต้อง เราก็จะสามารถไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ แต่ถ้าหากเราใช้ไม่เป็น เราก็ตกลงมาเท่านั้น ขอให้เราคิดถึงอุปมาเรื่องคนใช้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำ และในขณะที่เขาทำหน้าที่อย่างดี ในขณะที่เราตื่นเฝ้าอยู่เสมอนั่นแหละที่นายเห็นว่าเขาเป็นคนใช้ที่ใช้การได้ ซื่อสัตย์ และได้รับคำชมเชยและบำเหน็จรางวัลจากนาย
จะเป็นการดีมากถ้าหากว่าเราจะพิจารณาถึงกิจวัตรประจำวันของเรา เพื่อจะได้ทราบว่าเราพร้อมที่ไปปรากฏตัวเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้าหรือเปล่า คริสตชนที่ดำรงชีวิตอย่างดี เป็นต้น โดยอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์ และพยายามปฏิบัติหน้าที่ตามสถานะของตนอย่างดี ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องกลัวความตาย พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยเมตตา พระองค์พร้อมที่จะช่วยเหลือเราในภัยพิบัติต่างๆ หรือในการประจญ ถ้าหากเรามีน้ำใจดีอยากปรนนิบัติพระองค์ และคนที่พยายามดำรงชีวิตใกล้ชิดกับพระเป็นเจ้าเสมอตลอดทั้งชีวิตของเขา เขาจะเรียกร้องหาพระเป็นเจ้าในยามเมื่อเขาต้องประสบความยากลำบากและในวาระที่เขาจะต้องตาย แต่สำหรับผู้ที่เคยห่างเหินจากพระเป็นเจ้าอยู่เสมอนั้น เราหวังยากว่าเขาจะกลับใจก่อนตาย เพราะเวลานั้นเขาได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัส คิดอะไรไม่สู้ออกและกลัวตาย บางคนหมดหวังเสียด้วยซ้ำไป เพราะเขาไม่เคยคิดถึงพระเป็นเจ้าเลยในชีวิตของเขา เขาอาจจะคิดว่าพระเป็นเจ้าจะไม่ทรงช่วยเหลือเขาด้วยซ้ำไป ฉะนั้น เวลาที่จะกลับใจ หรือเวลาที่เหมาะสมที่สุดจะต้องเป็นเวลาในขณะนี้ พระอาจารย์เจ้าจะเสด็จมาพบเราในไม่ช้า บางทีพรุ่งนี้อาจจะสายไปเสียด้วยซ้ำไปสำหรับบางคน