3. หญิงคนบาป (ลก 7:36-50)
คำอธิบาย
ชาวฟาริสีคนหนึ่งได้เชื้อเชิญพระองค์ให้ทานเลี้ยงในเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี พวกเขาได้เคยสังเกตแล้วว่าพระองค์ทำตัวเป็นเพื่อนของคนบาปและคนเก็บภาษี และเพราะเหตุนี้เองแหละ พระองค์จะเป็นพระเมสสิยาห์ไม่ได้ตามความคิดของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะมีความคิดขัดแย้งกับพระองค์ ถึงกระนั้นก็ดี พวกเขาก็ยังไม่ได้เกลียดพระองค์อย่างรุนแรง ชาวฟาริสีอีกหลายคนต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับความประพฤติของพระองค์เพิ่มขึ้นด้วย บางทีเพราะเหตุนี้แหละฟาริสีจึงได้เชิญพระองค์มาทานอาหารกับเขา เขาคงต้องการถามพระองค์หลายอย่าง และในห้องอาหารที่บ้านของเขา เขาคงมีโอกาสสนทนาและซักถามพระองค์เป็นการส่วนตัว
พระเยซูเจ้าตอบรับคำเชิญนั้น เพราะว่าพระองค์ไม่เคยปล่อยให้โอกาสผ่านไปเลย ถ้าหากว่าพระองค์มีโอกาสจะนำข่าวดีไปสู่มนุษย์และเชื้อเชิญให้เขากลับใจ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นฟาริสี หรือคนเก็บภาษีก็ตาม แต่เนื่องจากมีสตรีเข้ามาขัดจังหวะในงานเลี้ยง ซีมอนจึงไม่มีโอกาสถามปัญหาต่างๆ ตามที่ตั้งใจไว้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้รับคำตอบที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งเกี่ยวกับภารกิจของพระเยซูเจ้า กล่าวคือ พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยให้คนบาปได้กลับใจ
ในเมืองนั้นมีหญิงคนหนึ่งเป็นคนบาป เนื่องจากนางเป็นคนบาปโดยเปิดเผย เข้าใจว่าคงจะเป็นหญิงงามเมือง
เมื่อนางรู้ว่า พระเยซูเจ้ากำลังประทับร่วมโต๊ะอยู่ในบ้านของชาวฟาริสี หญิงคนบาปผู้นี้คงได้ทราบมาแล้วว่าพระเยซูเจ้าเคยเทศน์เรียกร้องให้คนบาปกลับใจ และพระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาต่อคนบาป นางก็ได้เชื่อในพระองค์และได้กลับใจอย่างแท้จริง ละทิ้งความประพฤติไม่ดีเสีย นางมีโอกาสที่จะแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ นางจึงได้บังอาจเข้าไปหาพระเยซูเจ้า แม้ชาวฟาริสีจะจ้องมองก็ไม่สะทกสะท้าน ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความรักและกตัญญูต่อพระองค์
ขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอม เธอต้องการจะชโลมพระบาทของพระเยซูเจ้าด้วยน้ำมันหอม คนรวยมักจะใช้น้ำมันหอมนี้ชโลมศีรษะในโอกาสที่สำคัญๆ เพื่อที่จะทำให้ผมมีกลิ่มหอม ฉะนั้น การใช้น้ำมันหอมมาชโลมเท้าจึงถือว่าเป็นการฟุ่มเฟือยโดยเปล่าประโยชน์
นางใช้ผมเช็ดพระบาท จูบพระบาท นางได้สำนึกในความผิดพลาดของตนในอดีต ได้ร้องไห้อย่างขมขื่นแทบเท้าของพระเยซูเจ้า และเนื่องจากนางไม่มีผ้าเช็ด นางจึงได้ใช้มวยผมเช็ดเท้าของพระองค์ และได้ลูบพระบาทด้วยความศรัทธาเลื่อมใส จากนั้นนางก็ได้ชโลมพระบาทด้วยน้ำหอมนั้น
ชาวฟาริสีที่ทูลเชิญพระองค์มาเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีรู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เพราะไม่เคยนึกเลยว่าพระเยซูเจ้าจะปล่อยให้นางทำเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า แม้แต่เวลาเดินไปตามถนน เขามักจะพยายามไม่ให้เสื้อผ้าของเขาไปแตะต้องคนบาป แต่นี่หญิงชั่วผู้นี้ใครๆ ก็รู้จัก ไม่ใช่แต่แตะต้องเท่านั้น แต่ได้ลูบพระบาทของคนที่อ้างว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ แกล้งทำเป็นว่าตนเป็นพระเมสสิยาห์ แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าหญิงผู้นี้เป็นใครมาจากไหน และแม้ว่าพระองค์รู้จริงๆ พระองค์ก็ไม่น่าปล่อยใหคนบาปทำเช่นนั้นกับพระองค์
ซีโมน เรามีเรื่องจะพูดกับท่าน ซีโมนและเพื่อนๆ ไม่ได้วิพากวิจารณ์พระองค์อย่างเปิดเผย แต่พระองค์ต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์สามารถที่จะอ่านจิตใจของพวกเขาได้ เพราะเหตุนี้พวกเขาควรจะรับทราบไว้ด้วยว่าพระองค์เป็นประกาศก
เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน อาศัยการเปรียบเทียบ พระเยซูเจ้ามีพระประสงค์จะป้องกันตัวเองและป้องกันสตรีผู้นั้น และในเวลาเดียวกัน ก็ต้องการตำหนิซีโมนที่ขาดสมบัติผู้ดีในการต้อนรับพระองค์ ข้อบกพร่องของตัวเองมองไม่เห็น เห็นแต่ความผิดของหญิงคนชั่ว
คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ หนึ่งเหรียญในสมัยของพระเยซูเจ้ามีค่าเท่ากับค่าแรงของคนงานหนึ่งวัน ในที่นี้พระองค์ต้องการเน้นว่าคนหนึ่งเป็นหนี้มากกว่าอีกคนหนึ่งถึงสิบเท่า
ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ ลูกหนี้สองคนทำหนี้สินไว้มากใช้ได้ แต่เจ้าหนี้เป็นคนมีเมตตาจิต เมื่อคิดว่าลูกหนี้สองคนไม่มีทางที่จะจัดหาเงินมาชำระหนี้ได้ในขณะนั้นและอนาคต เขาก็ยกหนี้ให้ทั้งหมดอย่างใจกว้าง พระเยซูเจ้าจึงถามซีโมนว่าลูกหนี้คนไหนรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน และซีโมนได้ตอบอย่างถูกต้องว่า คนที่เจ้าหนี้ยกหนี้สินให้มากกว่า
พระองค์ทรงผินพระพักตร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า... พระเยซูเจ้าจึงประยุกต์เรื่องที่เล่าโดยเปรียบเทียบการกระทำของผู้หญิงคนนั้น และการต้อนรับของซีโมน พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของซีโมนในฐานะที่เป็นแขก ตามธรรมเนียมชาวยิวที่เป็นเจ้าของบ้านจะต้องล้างเท้า จูบเพื่อต้อนรับและเจิมศีรษะแขกผู้มีเกียรติด้วยน้ำมันหอม ซีโมนไม่ได้ทำอะไรเลยกับพระเยซูเจ้าตามที่กล่าว ทั้งนี้เพราะเขาไม่ได้ถือว่าพระองค์เป็นแขกที่มีเกียรติ ไม่ได้ถือว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ ส่วนหญิงคนนั้นได้ล้างเท้าพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ด้วยน้ำธรรมดา แต่ด้วยน้ำตา และได้จูบพระบาทนับครั้งไม่ถ้วน และได้ชโลมพระบาทไม่ใช่ด้วยน้ำมันธรรมดา แต่ด้วยน้ำหอมที่มีค่าที่นางอาจหาได้ เพราะฉะนั้นเรากล่าวแก่ท่านว่า พระเยซูเจ้าสรุปอุปมาให้ซีโมนฟัง กล่าวคือ หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนบาปตามที่เขาคิดต่อไปแล้ว พระองค์ได้อภัยบาปให้แก่เขาแล้ว เพราะว่านางได้สำนึกถึงหนี้สินมากมายที่พระองค์ได้ทรงยกให้นาง จึงได้แสดงความรักอันใหญ่หลวงและสำนึกในพระคุณ โดยการชโลมพระบาทของพระองค์ด้วยน้ำหอมและน้ำตา
บาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้ว พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่าบาปของนางได้ถูกยกแล้ว แน่นอน นางจะต้องได้รับความบรรเทาใจอย่างใหญ่หลวงจากคำพูดของพระองค์ ในเวลาเดียวกันก็เป็นข้อพิสูจน์สำหรับซีโมนด้วยว่า พระเยซูเจ้ามิใช่เป็นเพียงประกาศกธรรมดาเท่านั้น ซึ่งซีโมนก็เคยสงสัย แต่ใหญ่กว่าประกาศก เพราะพระองค์ทรงทราบถึงส่วนลึกในหัวใจของคนบาป และประกาศว่านางไม่มีบาปแล้ว ยิ่งกว่านั้นอีก พระองค์ก็ยังได้ทรงสอนในอุปมาว่าพระองค์ได้ทรงยกหนี้สินอันมากมายให้แก่นาง
ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมมีความรักน้อย ตรงกันข้าม ซีโมนคิดว่าตนเองมีบาปน้อยหรือมีหนี้สินน้อยต่อพระเป็นเจ้า เพราะชาวฟาริสีต่างก็มีความคิดนี้เหมือนกัน คือพวกเขาไม่ใช่คนบาปหนา เขาจึงเป็นหนี้พระเป็นเจ้าและพระเยซูเจ้าน้อย เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นการต้อนรับอันเย็นชาของเขาต่อพระเยซูเจ้า เมื่อเปรียบเทียบกับความกตัญญูและความรักอย่างสุดซึ้งของหญิงคนบาป ซึ่งรู้และยอมรับตัวเป็นคนบาป และได้ทำหนี้สินไว้กับพระเป็นเจ้ามากมาย ฉะนั้นนางจึงได้แสดงความกตัญญูกตเวทีถึงเพียงนั้น
บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า เมื่อชาวฟาริสีได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจ เพราะคำพูดของพระองค์นั้นแสดงว่าพระองค์มีอำนาจยกบาปได้ พระองค์อวดอ้างว่าเป็นพระเป็นเจ้าหรือ พระองค์เป็นใครกันจึงบังอาจเช่นนี้ เพราะพวกเขาทราบดีว่า มีเพียงพระเป็นเจ้าเท่านั้นที่มีอำนาจยกบาปได้ ที่จริงพระองค์ก็เป็นตามที่เขาคิด คือพระองค์เป็นพระเป็นเจ้า และพระองค์ก็มีพระประสงค์ให้เขารับทราบเรื่องนี้ด้วย
ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ก็แสดงให้เห็นว่าหญิงคนบาปที่พวกเขาประมาทนั้นสูงกว่าพวกเขาเสียอีก นางได้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ซึ่งยกบาป (ยน 1:29) นางเชื่อว่าพระองค์ทรงพระทัยเมตตาและมีอำนาจที่จะยกบาปของนางได้ แม้นางจะมีบาปมากมายและหนักเพียงไรก็ตาม ขอแต่ให้นางสำนึกในความผิดก็พอ นางได้สำนึกผิดและนางก็ได้รับอภัยโทษทั้งหมด พระองค์จึงตรัสว่าให้นางไปในสันติสุข สันติสุขกับพระเป็นเจ้าและกับตัวเอง
คำสอน
ในอุปมาเรื่องแกะที่พลัดหลงและเรื่องลูกล้างผลาญ พระองค์พระอาจารย์เจ้าได้แสดงให้เราเห็นว่า พระเป็นเจ้าพระบิดาผู้น่ารักและเมตตาได้ต้อนรับลูกที่หลงผิดซึ่งได้กลับมาหาพระองค์ ด้วยความสำนึกผิด แต่ในพระวรสารบทที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา และได้เล่าถึงนายชุมพาบาลผู้ทรงพระทัยดีและน่ารัก ประดุจพระบิดาผู้ใจดีซึ่งเสด็จลงมาจากสวรรค์ เพื่อจะได้นำแกะที่พลัดฝูงและบรรดาลูกๆ ที่หลงผิดทั้งหลายให้กลับมาหาพระองค์ ข่าวดีที่ให้ความหวังและกำลังใจของพระองค์นั้น ทำให้คนบาปรู้สึกจับอกจับใจ หญิงคนบาปหวังในพระเมตตาของผู้ที่รักคนบาป และนางได้ละทิ้งความรักอันเป็นภัยตลอดไป นางซึ่งครั้งหนึ่งทำให้บิดามารดาต้องเสียใจและหมดหวัง และเป็นที่สะดุดแก่ชาวเมืองได้กลับกลายเป็นผู้ที่สำนึกผิดและเป็นตัวอย่างแก่คนบาปทั้งหมดในโลก และในเวลาเดียวกันก็เป็นเรื่องพิสูจน์ถึงความรักและพระเมตตาอันปราศจากขอบเขตของพระเป็นเจ้า
ใครเล่าในพวกเราที่ไม่ต้องการตัวอย่างและกำลังใจชนิดนี้ พระเป็นเจ้าพร้อมเสมอที่จะยกฐานะคนบาปที่ต่ำต้อยให้สูงขึ้น ถ้าหากเขาจะฟังพระสรุเสียงของพระองค์ พระองค์ได้เคยประกาศว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อทุกคนที่ต้องการพึ่งพระองค์ พระองค์ได้ยกคำพูดของประกาศกอิสยาห์ที่ทำนายถึงพระเมสสิยาห์ “พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า” เพราะพระเป็นเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะบรรยายพระทัยเมตตาอันปราศจากขอบเขตของพระองค์ ส่วนมนุษย์เราไม่สามารถที่จะเข้าใจพระเมตตาของพระองค์ได้ พระองค์เสด็จลงมาเพื่อประกาศข่าวดีให้แก่โลกที่น่าสังเวช และที่กระหายอยากฟังพระวาจาของพระองค์ พระองค์เสด็จมาเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ที่ตกเป็นทางของปีศาจและบาป และบันดาลให้มนุษย์เห็นสภาพเที่ยงแท้ของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเขาจะได้มีความสัมพันธ์อันดีกับพระเป็นเจ้า กับเพื่อนมนุษย์ และกับสากลโลก
เนื่องจากพระเยซูเจ้าทรงเกรงว่าจะมีคนบาปหนาบางคนที่คิดว่าตนไม่สมจะได้รับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า พระองค์จึงได้ทรงยกตัวอย่างโดยพูดถึงไม้อ้อที่หัก และไส้ตะเกียงที่ดับแล้ว ซึ่งในสายตาใครๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้ค่า ถึงกระนั้นก็ดี พระองค์ไม่ได้เส็จมาเพื่อทำลายมัน แต่เพื่อจะดัดแปลงแก้ไขตกแต่งให้มันอยู่ในสภาพที่ใช้ได้ และมีประโยชน์ ฉะนั้นขอให้เรามั่นใจว่า ไม่มีคนบาปคนใดเลยแม้ว่าเขาจะมีบาปหนักหนาเท่าไรก็ตามที่สารเลวจนกระทั่งว่า พระเมตตาของพระเป็นเจ้าจะแผ่ไปไม่ถึงเขา วิญญาณของเขายังมีค่า เพราะพระองค์ได้ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง และพระองค์จะทรงกอบกู้เขาให้พ้นจากสภาพอันต่ำต้อยของเขา
ช่างเป็นสิ่งที่น่าบรรเทาใจจริงๆ เมื่อเราคิดว่าแม้เราจะเป็นคนบาป เต็มไปด้วยพยศชั่ว และข้อบกพร่องต่างๆ ถึงกระนั้นก็ดี เราก็ยังมีพระเป็นเจ้าผู้ทรงพระทัยเมตตากรุณาและพร้อมที่จะอภัยโทษและช่วยเราให้ลุกขึ้นอยู่เสมอ องค์พระเยซูเจ้าเองก็มิได้แต่เพียงจะสอนเราเกี่ยวกับพระทัยดีของพระเป็นเจ้า แต่ยังได้ทรงสถาปนาพระศาสนจักรและทรงตั้งศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ศีลมหาสนิทและศีลอภัยบาป เพื่อช่วยเราให้สามารถได้กลับใจและคืนดีกับพระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง ขอแต่ให้เรายอมรับสภาพความอ่อนแอ ความผิดและข้อบกพร่องต่างๆ ของเราด้วยใจจริงและวิงวอนขอจากพระองค์ด้วยใจสุภาพ
คริสตชนหลายคนเคยได้รับความบรรเทาและกำลังใจเมื่อคิดถึงความจริงอันนี้ เราก็จะได้รับความบรรเทาใจเช่นกัน ถ้าหากเรามีความไว้วางใจในพระทัยเมตตาอันปราศจากขอบเขตของพระเป็นเจ้า