7
เรมแบรนท์และบิดา
ในระหว่างที่ผมนั่งอยู่หน้าภาพวาดที่เฮอร์มิเทจ และพยายามจะซึมซับสิ่งซึ่งผมได้เห็น มีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มเดินเข้ามา แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาเพียงน้อยนิดอยู่หน้าภาพวาด แต่มัคคุเทศก์เกือบทุกคนก็ได้อธิบายว่าเป็นภาพวาดของบิดาผู้ใจดี และส่วนใหญ่อ้างว่าภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพวาดช่วงบั้นปลายชีวิตของเรมแบรนท์ ที่ต้องทนทุกข์ทรมานมานาน และก็เป็นเช่นนี้จริงๆ เพราะเป็นภาพที่แสดงถึงความเมตตากรุณาของพระเจ้า
แทนที่จะเรียกภาพนี้ว่า “การกลับมาของลูกล้างผลาญ” ก็น่าจะเรียกว่า “การต้อนรับของบิดาผู้ใจดี” มากกว่า เพราะพูดถึงลูกน้อยกว่าพูดถึงบิดาเสียอีก เรื่องอุปมานี้ แท้จริงแล้ว “เป็นคำอุปมาเรื่องความรักของบิดา” เมื่อมองลักษณะที่เรมแบรนท์วาดผู้เป็นบิดา ผมก็เกิดความเข้าใจภายในขึ้นใหม่ ถึงความอ่อนโยน ความเมตตากรุณา และการให้อภัย น้อยครั้งมากที่ความรักอันยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยเมตตาของพระเจ้า จะแสดงออกมาในลักษณะที่ชัดเจนเช่นนี้ รายละเอียดแต่ละอย่างของผู้เป็นบิดา ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ท่าทาง สีเสื้อผ้า และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ลักษณะมือที่สงบ ล้วนแสดงถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษยชาติ ความรักนี้มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม และจะมีอยู่ตลอดไป
ณ ที่นี้ เรื่องราวทั้งของเรมแบรนท์ ของมนุษย์ และของพระเจ้า ต่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เวลาและความเป็นนิรันดร์มาพบกัน ความตายที่ใกล้เข้ามาและชีวิตนิรันดรได้สัมผัสกัน บาปและการให้อภัยได้โอบกอดกัน มนุษย์และพระเจ้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
สิ่งที่ทำให้ภาพบิดาของเรมแบรนท์ มีพลังที่ไม่อาจต้านได้ก็คือ มีความเป็นพระเจ้าในมนุษย์ ผมเห็นชายชราตาฝ้าฟางและมีหนวดเครา ใส่เสื้อยาวมีลายปักและสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม เขาวางมือเหยียดตรงบนไหล่ของลูกชายที่กลับบ้าน ภาพนี้มีลักษณะพิเศษ เป็นรูปธรรมมาก และบรรยายได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ผมยังมองเห็นความเมตตากรุณาอันหาขอบเขตไม่ได้ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และการให้อภัยที่ไม่สิ้นสุดด้วย ซึ่งล้วนเป็นลักษณะของพระเจ้า ที่แผ่ออกมาจากพระบิดาผู้สร้างโลกจักรวาล ภาพนี้แสดงให้เห็นชัดเจนทั้งมนุษย์และพระเจ้า ทั้งความอ่อนแอและความเข้มแข็ง ทั้งคนชราและคนหนุ่มสาวตลอดกาล นี่คืออัจฉริยภาพของเรมแบรนท์ ความเป็นจริงฝ่ายจิตได้กำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดังที่พอล โบดิเควท (Paul Baudiquet) ได้เขียนไว้ว่า “สำหรับเรมแบรนท์ จิตใจดึงเอาอิทธิพลที่เข้มแข็งและน่าอัศจรรย์ออกมาจากเนื้อหนัง...”
เรมแบรนท์ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ที่ได้เลือกชายชราตาฝ้าฟางนี้เพื่อแสดงถึงความรักของพระเจ้า แน่นอนว่า เรื่องอุปมาที่พระเยซูเจ้าทรงสอน และวิธีการตีความตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ได้ให้พื้นฐานที่สำคัญแสดงถึงความเมตตากรุณาของพระเจ้า แต่ผมต้องไม่ลืมว่าเรื่องนี้เป็นชีวิตของเรมแบรนท์เองด้วย
พอล โบดิเควท กล่าวอีกว่า “ตั้งแต่หนุ่ม เรมแบรนท์มีกระแสเรียกเพียงอย่างเดียว คือความชราภาพ” เป็นความจริงที่เรมแบรนท์มักแสดงความสนใจต่อคนชรา เขาได้เขียน แกะสลัก และวาดภาพคนชราตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่ม และยิ่งทีก็ยิ่งหลงใหลความงดงามภายในของบุคคลเหล่านี้ บรรดาภาพวาดของเรมแบรนท์ที่น่าสนใจก็มักจะเป็นภาพชายชรา และภาพวาดตัวเขาเองที่แสดงออกถึงความรู้สึกได้ดีที่สุดก็เกิดขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา
หลังจากประสบความยากลำบากมากมายทั้งที่บ้านและที่ทำงาน เขาเกิดหลงใหลเป็นพิเศษในคนตาบอด ด้วยแสงสว่างภายในของเขา เขาเริ่มวาดภาพคนตาบอดในลักษณะของผู้มองเห็นอย่างถ่องแท้ เขาติดใจโทบิตและซีเมโอน ชายชราตาเกือบบอด เรมแบรนท์วาดภาพชายสองคนนี้หลายครั้ง
เมื่อเรมแบรนท์ก้าวเข้าสู่ช่วงมืดมนของวัยชรา ความสำเร็จและชื่อเสียงของเขาตกต่ำลง แต่เขากลับยิ่งได้สัมผัสถึงความงดงามอันยิ่งใหญ่ภายใน เขาพบแสงสว่างที่มาจากไฟภายในซึ่งไม่เคยดับสูญ คือไฟแห่งความรัก งานศิลปะของเขาจึงไม่พยายาม “เข้าใจ เอาชนะ และกำหนดกฎสิ่งที่เห็นได้” แต่เขาพยายาม “เปลี่ยนสิ่งที่เห็นได้ด้วยไฟแห่งความรักที่มาจากหัวใจหนึ่งเดียวของจิตรกรมากกว่า”
หัวใจหนึ่งเดียวของเรมแบรนท์กลายเป็นหัวใจหนึ่งเดียวของบิดา ไฟแห่งความรักให้แสงสว่างและร้อนแรงขึ้น ภายหลังที่ได้ผ่านความทุกข์ทรมานต่างๆ มามากมาย ไฟนี้ได้ลุกโชนในหัวใจของบิดา ผู้ต้อนรับการกลับมาของลูกชาย
เวลานี้ผมเข้าใจว่าทำไมเรมแบรนท์ไม่วาดภาพตามเนื้อเรื่องอุปมา นักบุญลูกาเขียนไว้ว่า “ขณะที่เขายังอยู่แต่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา” ในสมัยที่เรมแบรนท์ยังหนุ่มอยู่ เขาได้แกะสลักและวาดภาพเหตุการณ์นี้ในลักษณะที่เต็มไปด้วยอารมณ์ แต่ในบั้นปลายชีวิต เขาเลือกที่จะวาดภาพบิดาผู้สงบและรู้จักบุตรของตนมิใช่ด้วยสายตาของร่างกาย แต่ด้วยสายตาภายในหัวใจ
ดูเหมือนว่ามือที่วางอยู่บนไหล่ของลูกชายที่กลับมานั้น เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงสายตาภายในของบิดา ชายชราผู้มีสายตาฝ้าฟางมองเห็นไกลและกว้าง สายตาของเขาเป็นสายตาที่เป็นนิรันดร มองไปยังมนุษย์ทุกคน เป็นสายตาที่เข้าใจความหลงผิดของมนุษย์ทั้งหลายในทุกยุคทุกสมัย เป็นสายตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ รู้ถึงความทุกข์ทรมานของผู้ที่ได้เลือกออกจากบ้านไป และเป็นสายตาที่หลั่งน้ำตาอยู่ในความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวด หัวใจของบิดาลุกโชนด้วยความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะนำลูกๆ ของเขากลับบ้าน
โอ! เขาปรารถนาที่จะได้พูดกับลูกๆ ได้ตักเตือนเขาถึงอันตรายต่างๆ มากมายที่คุกคามพวกเขาอยู่ และทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะได้พบทุกสิ่งที่แสวงหานั้นที่บ้าน เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะพาลูกกลับบ้านด้วยอำนาจของบิดา และกอดพวกเขาไว้กับอก เพื่อพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
ทว่าความรักของบิดายิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ความรักนั้นไม่บีบบังคับ ไม่ฝืนใจ ผลักดันหรือดึงลาก ความรักให้แม้กระทั่งอิสรภาพที่จะปฏิเสธความรักนั้นหรือที่จะรักตอบ เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่มาของความทุกข์ในพระองค์เองด้วย พระเจ้าผู้ทรงสร้างทั้งสวรรค์และแผ่นดิน ทรงเลือกที่จะเป็นบิดาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด
ในฐานะพระบิดา พระองค์ต้องการให้ลูกๆ ของพระองค์เป็นอิสระ มีเสรีภาพที่จะรัก อิสรภาพนี้รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะออกจากบ้าน เดินทางไปยัง “ประเทศที่ห่างไกล” และสูญเสียทุกสิ่ง หัวใจของบิดารู้ถึงความเจ็บปวดทุกอย่างที่มาจากการเลือกนี้ แต่ความรักของพระองค์ทำให้พระองค์ไม่สามารถที่จะขัดขืนลูก ในฐานะพระบิดา พระองค์ปรารถนาให้ผู้อยู่ในบ้านยินดีในการประทับอยู่ของพระองค์ และมีประสบการณ์ถึงความรักของพระองค์ แต่ที่นี่ พระองค์ต้องการเพียงแค่เสนอความรักที่ยอมรับได้อย่างอิสระ พระองค์ทรงทุกข์ทรมานมากเมื่อลูกๆ ให้เกียรติและเคารพพระองค์แต่เพียงลมปาก ในขณะที่หัวใจของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากพระองค์ (อสย.29:13) พระองค์รู้จักลิ้นที่หลอกลวง และหัวใจที่ทรยศของพวกเขา (สดด.78:36-37) แต่พระองค์ก็ไม่อาจบังคับให้พวกเขารักพระองค์ได้ โดยไม่สูญเสียลักษณะความเป็นบิดาแท้ๆ
ในฐานะพระบิดา อำนาจประการเดียวที่พระองค์ทรงมีคือ อำนาจแห่งความเมตตากรุณา ซึ่งปล่อยให้บาปของลูกๆ ทิ่มแทงพระทัย ไม่มีตัณหา ความเห็นแก่ตัว ความโกรธ ความ ขุ่นเคือง ความอิจฉา หรือความอาฆาตใดๆ ในตัวลูกๆ ที่จะไม่ทำให้ดวงพระทัยของพระองค์รู้สึกเศร้าโศก หากความโศกเศร้านั้นลึกซึ้งใหญ่หลวงนัก ก็เพราะดวงพระทัยของพระองค์บริสุทธิ์ยิ่งนัก จากดวงพระทัยนี้เองที่ความรักได้โอบกอดความทุกข์ทรมานของมนุษย์ พระบิดากางพระกรต้อนรับ ลูกๆ พระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งเปล่งแสงสว่างออกมานั้น มีแต่ต้องการจะบำบัดรักษา
พระเจ้าที่ผมปรารถนาเชื่อมั่นนั้น คือ พระบิดาผู้ซึ่งตั้งแต่สร้างโลก ได้กางพระกรออกอวยพรด้วยความเมตตา พระองค์ไม่เคยบังคับผู้ใด พระองค์มีแต่รอคอยเท่านั้น พระองค์ไม่เคยลดพระกรลง อันแสดงถึงความผิดหวัง แต่พระองค์ทรงหวังอยู่เสมอว่า ลูกๆ ของพระองค์จะกลับมาเพื่อให้พระองค์ได้แสดงความรักต่อพวกเขา และให้พระหัตถ์อันเหนื่อยล้าของพระองค์วางบนไหล่ของพวกเขา ความปรารถนาประการเดียวของพระองค์คือการอวยพร
ในภาษาลาติน Benedicceri คือการอวยพร ซึ่งหมายความตามตัวอักษรว่า การพูดถึงแต่สิ่งที่ดี โดยอาศัยการสัมผัสมากกว่าการใช้เสียง พระบิดาทรงปรารถนาให้สิ่งดีๆ บังเกิดแก่ลูก พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะลงโทษพวกเขา เพราะพวกเขาได้รับการลงโทษแล้วจากความหลงผิด ทั้งภายในจิตใจและด้วยการกระทำ พระบิดาทรงต้องการเพียงให้พวกเขารู้ว่า ความรักที่พวกเขาแสวง-หาในทางที่ผิดนั้นอยู่ตรงนี้ พระบิดาทรงต้องการตรัสด้วยพระหัตถ์มากกว่าวาจาว่า “เจ้าคือบุตรสุดที่รักของเรา เราพอใจเจ้ามาก” พระองค์คือนายชุมพาบาลผู้เลี้ยงฝูงแกะ ทรงรวบรวมลูกแกะไว้ในอ้อมพระกร และทรงโอบอุ้มไว้ที่พระทรวง (อสย.40:11)
จุดสำคัญแท้จริงในภาพวาดของเรมแบรนท์คือมือของบิดา แสงสว่างรวมเป็นจุดเดียวบนมือนั้น รวมทั้งสายตาของผู้คนที่ยืนมองดูด้วย ในมือนั้น ความเมตตากรุณาปรากฏเป็นจริง มีการให้อภัย การคืนดี และการเยียวยารักษา และโดยผ่านทางมือนั้น ไม่เพียงแต่ลูกชายที่เหนื่อยอ่อนเท่านั้นที่ได้พัก แต่ยังรวมถึงผู้เป็นบิดาด้วย เมื่อผมได้เห็นภาพโปสเตอร์บนประตูห้องทำงานของซีโมน ผมรู้สึกติดใจมือนี้มาก ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจชัดว่าทำไม แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ผมค่อยๆ ได้รู้จักมือนั้น มือที่โอบอุ้มผมตั้งแต่การปฏิสนธิ มือที่ต้อนรับผมเมื่อผมเกิด มือทีอุ้มผมไว้แนบอกของแม่ มือที่เลี้ยงดูและทำให้ผมอบอุ่น มือที่ป้องกันในยามอันตราย และปลอบประโลมเมื่อโศกเศร้า มือที่โบกลาเมื่อผมจากไป และต้อนรับเมื่อผมกลับมา มือนั้นคือ พระหัตถ์ของพระเจ้า และเป็นมือของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย ผู้บำบัดรักษา และผู้ซึ่งพระเจ้าประทานมาเพื่อให้ผมตระหนักว่าผมได้รับการปกป้องดูแลมากเพียงไร
หลังจากที่เรมแบรนท์วาดภาพบิดากับมือที่อวยพรนั้นได้ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต มือของเรมแบรนท์ได้วาดใบหน้าและมือของมนุษย์มามากมาย และในภาพนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพวาดช่วงสุดท้ายของเขา เขาได้วาดพระพักตร์และพระหัตถ์ของพระเจ้า
บิดาของลูกล้างผลาญคือภาพวาดตัวเขาเอง แต่ไม่ใช่เป็นภาพเหมือน ใบหน้าของเรมแบรนท์ปรากฏในงานหลายชิ้นของเขา บ้างเป็นลูกล้างผลาญซึ่งอยู่ในซ่องโสเภณี บ้างเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูเจ้าที่ตกใจกลัวในขณะอยู่กลางทะเลสาบ บ้างเป็นชายที่นำพระศพของพระเยซูเจ้าลงจากกางเขน
แต่ในภาพนี้ไม่ใช่ใบหน้าของเรมแบรนท์ที่ปรากฏออกมา แต่เป็นวิญญาณของเขา วิญญาณของบิดาคนหนึ่งซึ่งทนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียหลายครั้ง เมื่อเขาอายุได้ 63 ปี เขาได้เห็นซัสเคียภรรยาสุดที่รักของเขาเสียชีวิต และได้เห็นบุตรชายสามคน บุตรสาวสองคนเสียชีวิต รวมทั้งหญิงอีกสองคนซึ่งเขาอยู่กินด้วย และความโศกเศร้าต่อการสูญเสียบุตรสุดที่รักคือ ทิตัส อายุ 26 ปี ซึ่งเกิดขึ้นไม่นานนักหลังจากลูกคนนี้ได้แต่งงานออกไป ความโศกเศร้าเหล่านี้ เรมแบรนท์ไม่เคยพูดถึง แต่ในภาพวาดบิดาของลูกล้างผลาญ เราสามารถเห็นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดของเขา เรมแบรนท์ถูกสร้างมาตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า ดังนั้น เขาจึงรู้จักภาพธรรมชาติแท้จริงของพระเจ้า โดยผ่านการต่อสู้ที่หนักหน่วงและยาวนาน เป็นภาพลักษณ์ของชายชราตาเกือบบอดผู้ร้องไห้เพราะความรักอันอ่อนโยน และอวยพรลูกชายที่บาดเจ็บกลับมา จากที่เรมแบรนท์เคยเป็นลูกชาย บัดนี้เขากลายเป็นบิดา และดังนี้เองที่เขาได้รับการเตรียมเข้าสู่ชีวิตนิรันดร