เอาละครับ ก่อนที่ผมจะเล่าต่อไป ขอย้อนอดีตประวัติความเป็นมาของศาสนาคริสต์ในเกาหลีซักนิดนึงว่าใครนำศาสนาเข้ามา คำตอบก็แน่นอนครับ เหมือนประเทศไทย จะใครซะอีกนอกจาก มิชชั่นนารีจากทางตะวันตก หากผมจำไม่ผิด มิชชันนารีที่เข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนา เข้ามาพร้อมกันหลากหลายนิกาย ซึ่งหลักๆก็จะมี คาทอลิก โปรแตสแตนต์ และเพรสไบทีเรียน ช่วงนั้นอยู่ในช่วง ประมาณคริสตศักราชที่ 1880 ซึ่งก็ทำให้โบสถ์คาทอลิก (성당 ซองตัง) และโบสถ์คริสเตียน (교회คโย-ฮเว) เกิดขึ้นบ้างตามชนบท และในเมืองหลวงเอง แต่ตอนนั้นก็ยังมีการต่อต้านศาสนาครับ ทำให้ผู้ที่มีความเชื่อถูกฆ่าตายเป็นว่าเล่น เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น (เพราะสมัยก่อนคนญี่ปุ่นเชื่อว่าจักรพรรดิคือพระเจ้า หากนับถือพระเจ้าอื่นเท่ากับว่าเป็นกบฏ ต้องโทษประหาร) ดังนั้นจึงทำให้เกาหลีมีมรณะสักขีเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอันดับต้นๆท่ามกลางบรรดาประเทศที่ต่อต้านศาสนาคริสต์ทั้งมวล
แต่ที่น่าแปลกคือ ปัจจุบันนี้ ประชาชนจำนวนมากที่ผมได้บอกว่ากลับใจมาเชื่อพระเจ้านั้น ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคาทอลิกครับ แต่เป็นคริสเตียน เนื่องด้วยช่วงหลังสงครามเกาหลีสงบลง นานาประเทศได้เข้ามาช่วยเกาหลีในทุกๆด้าน เพราะตอนนั้นเกาหลีจนมากๆ ถึงขนาดต้องขอความช่วยเหลือจากเอธิโอเปีย และก็มีมิชชันนารีคริสเตียน เข้ามาให้ความช่วยเหลือในฐานะผู้ประกาศข่าวดี และตัวแทนของประเทศของตนในการให้ความช่วยเหลือทางด้านต่างๆ
ดังนั้นด้วยความซาบซื้ง ชาวเกาหลีจึงค่อยๆรับความเชื่อแบบคริสเตียนมา นำเอาคำสอนของพระเยซูเจ้ามาปฏิบัติ จนชีวิตมีความสุข เจริญรุ่งเรือง กลายเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับสามของโลก ก็ทำให้เกิดการบอกต่อ และสร้างกลุ่มผู้มีความเชื่อกลุ่มเล็กๆขึ้น จากนั้นก็พัฒนาจัดตั้งเป็นคริสตจักร ซึ่งมีผู้ก่อตั้งคนแรกเป็นผู้ดูแล
วันเวลาผ่านไป กลุ่มคริสเตียนที่มีความเชื่ออย่างเข้มแข็งก็ใช้วิธีบอกและชักชวนกันปากต่อปาก ขยายกลุ่มมากขึ้นๆ จนทำให้ไม่ว่าตรงไหน จุดใดก็ได้ในเกาหลี ขอให้มีเพียงผู้นำบวกศรัทธา ก็สามารถก่อตั้งโบสถ์ได้แล้ว ต่างกันกับคาทอลิกที่ไม่ได้มีการก่อตั้งกลุ่มแต่อย่างใด เพียงแค่รอผู้ที่มีความเชื่อ เข้ามาเรียนและรับศิลล้างบาป คล้ายๆระบบเดียวกันกับที่ไทย
แต่ทว่า การที่กลุ่มคริสเตียนในเกาหลี สามารถขยายกลุ่มของตนได้มากขึ้นๆ ตราบใดที่ยังมีผู้นำและผู้ตาม ก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือ “โบสถ์เก๊” และเป็นปัญหาที่รัฐบาลเกาหลีแก้ไม่ได้ด้วย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ที่สำคัญหากมีปัญหาแล้วละก็ ผู้ที่อยู่กลุ่มความเชื่อนั้นสามารถก่อกลุ่มชุมนุมได้ตามสิทธิทันที
เพราะปัญหานี้เอง ทำให้ทุกวันนี้ แทบไม่มีใครแยกออกเลยว่า โบสถ์ที่สร้างขึ้นอยู่ริมทางทั้งที่สร้างใหม่สวยงามมียอดโดมหกเหลี่ยมสูงประดับกางเขนบนยอดก็ดี หรือจะเป็นโบสถ์ที่เช่าอยู่ตามอาคารก็ดี โบสถ์ไหนกันแน่ที่เป็นโบสถ์ของคริสเตียนจริงๆ แม้แต่ กระทั้งคนเกาหลี ผมก็ถามเขาไปว่า ผมเห็นโบสถ์ที่มียอดโดมหกเหลี่ยมและก็มีกางเขนข้างบนนั้น สามารถการันตีได้ไหมว่านี่คือโบสถ์ของคริสเตียนจริงๆ เขาก็ส่ายหน้าพร้อมกับห้ามผมเข้าไปยุ่งอย่างเด็ดขาด
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า เมื่อกลุ่มคริสเตียนมีการขยายตัวมากขึ้น ก็ทำให้มีคนหัวใสแต่จิตใจ...ใช้คำสอนของพระเยซูเจ้าบังหน้าเพื่อสร้างภาพความเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ร่วมกับพี่น้องคริสเตียนอื่นๆ แต่เมื่อใดที่มีการบรรยาย หรือเทศน์สอน ก็จะเอาหลักความคิดประจำโบสถ์ของตน ซึ่งโดยมากแล้วใช้หลักความเป็นจริงในมุมมองจิตวิทยา ทั้งยังสร้างความรู้สึกให้ผู้รับฟังซาบซึ้งกับหลักมนุษยธรรมที่มีอยู่แล้วแต่เดิม ซึ่งเป็นผลประโยชน์ล้วนๆแก่โบสถ์
บรรดาผู้นั่งฟังตาดำๆด้วยความเชื่อในพระเยซูเจ้าก็เข้าใจไปตามนั้น และก็ทำตามที่นักเทศน์ เทศน์สอนโดยลืมนึกถึงความถูกต้องอย่างแท้จริงของหลักคำสอนของพระเยซูเจ้าไปอย่างสิ้นเชิง จนสุดท้ายบรรดาผู้ศรัทธาถึงขนาดกับสละทุกอย่างแม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือจริยะธรรมที่ถูกต้องตามหลักของศาสนาจริงๆ ทุ่มให้กับลัทธินอกรีตจนไม่มีใครสามารถกู้สติคนๆนั้นกลับคืนมาได้...เฮ้อ...