1. พระดำริ (หรือปรีชาญาณ) (Wisdom)
- คือพระคุณที่ทำให้เรารู้สึกในอรรถรสของพระเจ้าและสิ่งสร้าง ทั้งช่วยเราให้สามารถแยกแยะความดีจากความชั่ว เมื่อเรารับพระเจ้า เราสามารถสัมผัสความรักของพระเจ้า และเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมาในธรรมชาติ เช่น เราจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดเราเมื่อเราได้ยินเสียงใบไม้ไหว หรือเมื่อมองเห็นดาวกระพริบอยู่บนท้องฟ้าในเวลากลางคืน
- สำหรับผู้ที่ได้รับปรีชาญาณ ชีวิตของตนแม้ต่ำต้อยหรือปกติที่สุด ก็เป็นสิ่งน่าพิศวง เพราะรู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากพระเจ้า ในสมัยกลาง อิสอัค นักบวชชาวอังกฤษคนหนึ่ง เคยกล่าวว่า "โลกนี้เป็นประโยชน์สองประการสำหรับมนุษย์ คือเลี้ยงเราและสอนเรา" พระจิตเจ้าทรงจัดให้สิ่งของในโลกมีไว้ ไม่เพียงแต่เป็นอาหารเลี้ยงท้อง แต่เป็นอาหารเลี้ยงวิญญาณอีกด้วย ทุกสิ่งในโลกเป็นข่าวสารของพระเจ้าสำหรับเรา ผู้ที่ได้รับพระคุณแห่งปรีชาญาณนี้ สามารถรับสื่อเหล่านี้ และได้เรียนรู้ เช่น ดอกไม้ส่งกลิ่นนำความชื่นชมอย่างเงียบ ๆ ตะวันขึ้นทุกวันแม้ไม่มีใครมาตั้งใจชม กระแสน้ำที่ไหลเป็นนิจ นกร้องเหมือนกับคนอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างง่าย ๆ ของการเรียนรู้
- ปรีชาญาณยังช่วยเราให้สามารถแยกแยะความดีจากความชั่ว กษัตริย์ซาโลมอนได้รับปรีชาญาณเมื่อทรงอธิษฐานภาวนาว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรถูก ขอพระองค์ประทานใจที่อ่อนน้อม ว่านอนสอนง่าย เพื่อจะสามารถแยกแยะความดีจากความชั่ว”
- ดังนั้น ปรีชาญาณเป็นพระคุณที่ส่องแสงในจิตใจมนุษย์ และช่วยอธิบายความหมายของชีวิต อังเดร ฟอร์ซารด์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส ก่อนจะตาย ได้เขียนว่า "มนุษย์ได้อำนาจมากกว่าปรีชาญาณ ถ้าไม่กลับใจ ในไม่ช้าก็จะประพฤติเหมือนสัตว์" ถูกของเขา ทุกอย่างที่มนุษย์สมัยนี้ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา ก็มีไว้เพื่อขยายสมรรถภาพฝ่ายกาย เช่น โทรทัศน์ขยายความสามารถในการมองของตา รถยนต์ขยายความสามารถที่จะเดินของเท้า โทรศัพท์ก็มีไว้เพื่อขยายความสามารถในการฟังของหู
- แต่การขยายสมรรถภาพของร่างกายเช่นนี้ไม่ได้ส่วนกับการขยายสมรรถภาพของวิญญาณ มีแต่ปรีชาญาณเท่านั้นที่สามารถช่วยเราให้เห็น ให้ใช้สิ่งประดิษฐ์น่าทึ่งเหล่านี้อย่างถูกต้อง คือ ช่วยเราให้รู้จักใช้ทุกสิ่งเพื่อแสดงความรักที่มาจากพระเจ้าแก่ผู้อื่น ปล่อยให้ความรักของพระองค์ครอบครองจิตใจของเราและของมนุษย์
2. สติปัญญา (Understanding)
- คือพระคุณที่ทำให้เราเข้าใจในความจริงที่ต้องเชื่อและต้องปฏิบัติตาม เป็นพระคุณที่ช่วยเรามิให้เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา แต่แสวงหาความจริงของทุกสิ่งอย่างลึกซึ้ง ดังที่ท่านนักบุญเปาโลเขียนไว้ว่า "พระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกล้ำของพระเจ้า" (1คร 2:10)
- พระพรนี้ช่วยเราให้พ้นพฤติกรรมของคนทั่วไปนับตั้งแต่เด็กมา คือ สลวนสนใจเพียงเรื่องภายนอก เช่น ความสวยงาม การแต่งตัว ทรัพย์สมบัติ ความนิยมชมชอบ การได้หน้าได้ตา เกียรติยศชื่อเสียง พระพรนี้ช่วยให้เราพ้นจากโรคเหล่านี้ที่ขึ้นสมองของคนทั่วไป ทำให้เราเป็นคนหนึ่งที่มองเห็นคุณค่าที่สูงกว่านั้นในทุกสิ่ง
- พระคุณแห่งสติปัญญายังช่วยเราให้เข้าใจพระคัมภีร์ พระวาจาของพระเจ้าอย่างถูกต้อง ตามพระสัญญาของพระคริสตเจ้าที่ตรัสว่า "เมื่อพระจิตเจ้าแห่งความจริงจะเสด็จมา พระองค์จะนำทางท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งหมด" (ยน 16:13)
- นอกจากนั้น สติปัญญาจะช่วยเราให้เข้าใจคำสอนของธรรมประเพณีที่มีชีวิตชีวาในพระศาสนจักร จะเห็นได้ว่าธรรมล้ำลึกต่างๆ เช่น เรื่องการเนรมิตสร้าง การกอบกู้ การคืนชีพหลังความตาย รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างงดงาม และรับแสงสว่างจากพระวาจาของพระเจ้าอยู่เสมอ พระคุณแห่งสติปัญญานี้เอง ปลุกความเชื่อในใจของเรา ทำให้เราทราบว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า "หากพระจิตเจ้ามิได้ทรงดลใจ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกล่าวได้ว่า พระเยซูคือองค์พระผู้เป็นเจ้า" (1คร 12:3)
3. ความคิดอ่าน (Counsel)
- คือพระคุณที่ทำให้เราตัดสินใจปฏิบัติตามแผนการของพระเจ้า คือช่วยเราให้ค้นพบหนทางชีวิตที่ถูกต้อง ให้รู้ว่าพระองค์ทรงต้องการอะไรจากเรา เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับมนุษย์แต่ละคน การค้นพบแผนการนี้เป็นเงื่อนไข เพื่อจะประสบความสำเร็จในชีวิต ความคิดอ่านช่วยเราให้แยกแยะ สิ่งที่ถาวรจากสิ่งที่ชั่วคราว ช่วยเราให้รอบคอบในการเลือกวิถีชีวิตโดยไม่ผิดพลาด เช่น จะตัดสินใจแต่งงาน บวช หรือดำเนินชีวิตโสด ฯลฯ
- พระพรนี้ยังช่วยเราให้เคารพอิสรภาพของผู้อื่นในการเลือกหนทางชีวิต ขณะที่ช่วยเขาให้เลือกดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกกรณี ที่จริงมนุษย์มีความสามารถมากมาย แต่เราใช้สมรรถภาพนั้นน้อยเกินไป เพราะขาดการตัดสินใจแน่วแน่ เช่น เด็กอายุ 3 ขวบที่อยู่กับคน 10 คนในครอบครัว แต่ละคนพูดภาษาคนละภาษากับเด็ก เด็กคนนี้สามารถโต้ตอบกับทุกคนในภาษาต่างๆ ได้
- นักจิตวิทยามีความเห็นพ้องต้องกันว่า มนุษย์เราพัฒนาความทรงจำความสามารถที่จะรัก และความสามารถที่จะสนใจในเรื่องอื่น ๆ น้อยเหลือเกิน พระพรแห่งความคิดอ่านช่วยเรามิให้ละทิ้งสมรรถภาพนี้ไว้ให้เปล่าประโยชน์
4. พละกำลัง (Fortitude)
- คือพระคุณที่ช่วยเราให้มีความกล้าหาญ ความมั่นคง และความซื่อสัตย์ในความเชื่อ สามารถต่อสู้กับศัตรูฝ่ายวิญญาณได้ หนังสือกิจการอัครสาวกแสดงชัดว่าเมื่อบรรดาอัครสาวกได้รับพระจิตเจ้าแล้วในวันเปนเตกอสเต ก็ได้รับพละกำลังที่จะประกาศพระคริสตเจ้าอย่างกล้าหาญ และได้ดำเนินชีวิตเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าอย่างเปิดเผย หากมนุษย์ไม่มีความกล้าหาญหรือพลังภายในเช่นนี้ เขาจะไม่กล้าประพฤติผิดแผกจากคนทั่วๆ ไป เขาจะเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือช่วยคนอื่น เขาจะประนีประนอมในทุกกรณี แตร์ตูเลียน ปิตาจารย์ในศตวรรษที่สาม เคยเปรียบเทียบพระจิตเจ้ากับโค้ชของนักกีฬาว่า โค้ชจะสอนนักกีฬาของตนว่า เขาจะต้องรู้จักออกแรงจนเหน็ดเหนื่อย เขาจะไม่สามารถได้เหรียญทองหากไม่มีเหงื่อออก ถ้าเขามุ่งมั่นเขาจะไม่รู้สึกเบื่อหน่ายจำเจในการฝึกฝน
- ฉะนั้น พระคุณแห่งพละกำลังที่เรารับจากพระจิตเจ้าช่วยเราให้ปฏิบัติตาม ข้อความบนป้ายที่ติดไว้บนฝาผนังในบ้านของคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา ที่ว่า "มนุษย์นั้นบ่อยครั้งทำอะไรไม่มีเหตุผล เห็นแก่ตัว ช่างมัน…จงรักเขาเถิด ถ้าท่านทำความดี ผู้อื่นอาจคิดว่า ท่านหวังจะได้ประโยชน์ ช่างมัน…จงทำความดีเถิด ถ้าท่านประสบความสำเร็จ ท่านจะพบว่ามีทั้งมิตรเทียมและศัตรูแท้ ช่างมัน…พยายามทำให้สำเร็จ ความดีที่ท่านทำวันนี้พรุ่งนี้ก็จะถูกลืม ช่างมัน…จงทำความดีเถิด ความสุจริตและจริงใจจะทำให้ท่านถูกเอาเปรียบ ช่างมัน...จงเป็นผู้สุจริตและจริงใจเถิด สิ่งที่ท่านได้สร้างขึ้นเป็นเวลานานอาจจะถูกทำลายในพริบตา ช่างมัน…จงสร้างขึ้นเถิด ถ้าท่านช่วยคนอื่น เขาอาจจะไม่พอใจท่าน ช่างมัน…จงช่วยเขาเถิด ถ้าท่านทุ่มเทตนเองอย่างดีที่สุดแก่ผู้อื่นเขาอาจจะเตะท่านทิ้ง ช่างมัน…จงทุ่มเทตัวเองอย่างดีที่สุดเถิด"
5. ความรู้ (Knowledge)
- คือพระคุณที่ช่วยเราให้รู้จักพระเจ้าและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับพระองค์ ความรู้นี้เป็นโลกทัศน์ที่มาจากการพบปะกับพระเจ้าผู้ทรงเปลี่ยนแปลงใจและชีวิตของมนุษย์ อาศัยพระพรนี้นักเทววิทยาสามารถอธิบายความจริงที่เราเชื่ออย่างเป็นระบบ และสามารถเข้าใจเครื่องหมายของกาลเวลา ที่แสดงพระประสงค์ของพระเจ้าให้แก่เรา ในทุกวันนี้ เป็นพระพรซึ่งผู้สอนคำสอนต้องรับเพื่อจะเป็นอาจารย์แห่งความเชื่อให้แก่ผู้อื่น พระพรนี้ทำให้เรารักพระเจ้าและทุกสิ่งมากยิ่งขึ้น
- คอสตอเยสกี นักเขียนเรืองนามชาวรัสเซียคนหนึ่งคงจะได้รับพระคุณนี้เมื่อได้เตือนผู้อ่านว่า "พี่น้องทั้งหลาย จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างทั้งมวล ทั้งส่วนรวมและทีละสิ่งเหมือนเม็ดทรายทีละเม็ด จงรักใบไม้แต่ละใบ จงรักแสงแดด ต้นไม้ สัตว์ และทุกสิ่ง โดยเฉพาะ จงรักเด็ก เพราะเขามีชีวิตเพื่อชำระจิตใจของท่าน และทำให้ท่านรู้สึกอ่อนโยน"
6. ความศรัทธา (Piety)
- คือพระคุณที่ทำให้จิตใจของเรายอมนมัสการพระเจ้า แสดงคารวะกิจพิเศษต่อพระองค์ ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดา ทรงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้าย ของพระพรทุกอย่าง ความศรัทธา คือความรู้สึกอ่อนโยนต่อพระเจ้า รักพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด และปรารถนาที่จะถวายเกียรติแด่พระองค์ในทุกสิ่งที่เรากระทำ พระเมตตาที่พระองค์ทรงมีต่อเราใหญ่ยิ่ง ทรงมีพระประสงค์ให้เราตอบสนองความรักต่อพระองค์ ผู้มีความศรัทธาไม่เพียงแต่แสวงหาความบรรเทาใจจากพระเจ้า ยังปรารถนาที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์กับพระองค์อีกด้วย
- ความศรัทธาช่วยเราให้ทนความทุกข์ยากลำบาก เช่น เมื่อบีโทเฟน นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่มีอายุ 46 ปี เกิดหูหนวกสนิท เขารู้สึกสิ้นหวัง แต่อาศัยความศรัทธาที่เขายังมีต่อพระเจ้า เขายังพบพละกำลังที่จะเอาชนะความผิดหวังได้ เขาเขียนดนตรีอมตะชิ้นหนึ่งที่เรียกว่ามิสซาสง่า โดยใช้เวลาสองปีในการเขียนงานชิ้นนี้ หลังโน้ตตัวสุดท้ายเขาเขียนว่า "พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการอันมั่นคงของข้าพเจ้า"
- เมื่อเราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา เราไว้วางใจพระองค์เหมือนกับลูกรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของพ่อของตน ดัง การ์โล คาเรตโต เขียนไว้ว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มีคุณค่าและมีศักดิ์ศรีที่แท้จริงในพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ถามพระองค์ว่า ทำไม…? ทำไม…? แต่จะบอกเพียงว่า พระองค์ทรงทราบ ถ้าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่คิดว่าเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นเครื่องหมายแสดงความรักของพระองค์ ถ้าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หมดความเชื่อ เมื่อเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติ คือ เมื่อไม่สามารถเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความรักของพระเจ้า และความทุกข์ยากลำบากที่ข้าพเจ้ากำลังประสบอยู่ พระเจ้าทรงเป็นเจ้านายของจักรวาล แม้แผ่นดินสะเทือนและแม่น้ำจะไหลท่วม พระองค์ทรงเป็นพระบิดา แม้ความหนาวจะทำให้มือแข็งหรืออุบัติเหตุจะทำให้พิการตลอดชีวิต" นี่คือตัวอย่างของพลังอำนาจของพระคุณความศรัทธา
7. ความยำเกรงพระเจ้า (Fear of the Lord)
- คือพระคุณที่ช่วยให้เรามีจิตสำนึกในความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรีสูงส่งของพระเจ้า พระเจ้าทรงพระทัยดี และทรงเป็นพระบิดา ทั้งยังทรงพละกำลัง ทรงพลานุภาพ เราจึงต้องเคารพและนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์ ดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ สลวนที่จะทำให้พระองค์พอพระทัยมากกว่าทำให้มนุษย์พอใจ นักบุญเปาโลเตือนเราว่า "อย่าหลอกลวงตนเอง เราจะเยาะเย้ยพระเจ้าไม่ได้" (กท 6:7)
- ผู้ที่ไม่เคารพพระเจ้าก็จะไม่เคารพมนุษย์อีกด้วย ดังที่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้พิสูจน์แล้ว ความยำเกรงพระเจ้ายังสอนเราว่า เราไม่สามารถทำตามใจชอบ เราไม่ใช่เจ้าของความดีและความชั่ว เราไม่สามารถทำให้ความอธรรมกลับเป็นความชอบธรรม ทำให้สิ่งที่ผิดกลับเป็นสิ่งที่ถูก ทุกครั้งที่เราไม่เคารพสิ่งที่มีค่าในชีวิต ก็เท่ากับว่าเราไม่เคารพพระเจ้าผู้ทรงเป็นต้นกำเนิดของคุณค่าเหล่านั้น
- ความยำเกรงพระเจ้าทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ไม่ทรงใช้มาตรการของมนุษย์ที่มักจะตัดสินว่า ผู้มีอำนาจและผู้ประสบความสำเร็จเท่านั้นมีคุณค่า แต่พระองค์ทรงรักเราอย่างที่เราเป็น และทรงช่วยเราให้พ้นจากสิ่งที่จะทำลายเรา เพื่อจะได้สิ่งที่ดีจริงสำหรับเรา ความยำเกรงพระเจ้าจึงเป็นความรักเยี่ยงลูก ซึ่งเกรงจะทำเคืองพระทัยพระบิดา
คุณพ่อไกส์ (สู่ปี 2000 ฉบับที่ 9)