ความเชื่อของอับราฮัม
ปฐมกาล 17:3-9
พระคัมภีร์บอกเราว่า อับราฮัมเป็นบิดาของความเชื่อ ชีวิตของอับราฮัมช่วยเราให้เข้าใจได้ว่าความเชื่อเป็นอย่างไร เมื่อพระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้ออกจากบ้านเถิด อับราฮัมไม่รู้เลยว่าพระเจ้าจะทรงนำท่านไปที่ไหน เวลานั้นท่านดูเหมือนเดินอยู่ในความมืด ถ้าถามว่า ความเชื่อคืออะไร ตรงนี้เองคือคำตอบ ความเชื่อคือความไว้ใจในการทรงนำของพระเจ้า เดินไปตามทางที่พระองค์ทรงนำแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลย
ความเชื่อไม่ใช่การยอมรับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความเชื่อต่างจากความรู้ เรารู้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกวัน เรารู้ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ สมมุติว่าใครสักคนหนึ่งบอกเราว่า เขากำลังมีปัญหา ต้องการความช่วยเหลือจากเรา อยากให้เราไปพบเขา เราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าเราไปพบเขาเพราะเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำเราและเราทูลฝากทุกสิ่งไว้ในพระทัยพระเจ้า นี่คือความเชื่อ การตัดสินใจทำหรือไม่ทำตรงนี้ต้องอาศัยความเชื่อ ไม่ใช่ความรู้
ความเชื่อเรียกร้องให้เราตัดสินใจ พระเจ้าทรงถามเราว่าเราจะเชื่อพระองค์ จะติดตามพระองค์หรือไม่ เป็นความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงให้มนุษย์มีอิสระในการตัดสินใจ ทรงให้อิสรภาพแก่เรา แต่ระหว่างเรากับพระองค์มีสายใยแห่งความผูกพันกันอยู่ ด้วยสายใยที่บางเบาและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ พระองค์ทรงดึงเราเข้าหาพระองค์ด้วยความอ่อนโยนสุภาพ เพราะความจริงแล้วเราเป็นของพระองค์ ทรงส่งเราเข้ามาในโลกและไม่ทรงปรารถนาจะละทิ้งเราให้เดินไปตามลำพังผู้เดียว ดังนั้น อิสรภาพของมนุษย์จึงไม่ได้หมายความว่าเราขาดจากพระเจ้าโดยเด็ดขาด พระเจ้าไม่ได้ทรงให้เราเลือกเอาเองว่าจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ จะไปสวรรค์ก็ได้ ไปนรกก็ได้ตามใจเรา ความจริงดูเหมือนว่าเราไม่มีทางเลือกด้วยซ้ำ เพราะถ้าเราไม่เชื่อ ไม่ไปตามทางที่พระองค์ทรงนำชีวิตเราก็จะมีแต่พินาศ และพระเจ้าไม่ทรงปรารถนาให้เป็นไปอย่างนั้น ทรงปรารถนาให้ทุกคนได้รับความรอด เมื่อไรที่เราขาดจากพระเจ้าตัวเราเองก็จะเป็นนรกสำหรับตัวเอง
พระคัมภีร์บอกเราว่า “อับราฮัมมีความเชื่อในพระเจ้า และนี่ก็นับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำหรับเขา” (ปฐก.15:6) “แม้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง แต่อับราฮัมก็หวังและเชื่อ” (รม.4:18) เมื่อเผชิญกับการทดลองครั้งสำคัญและยากที่สุด ตอนที่พระเจ้าทรงสั่งให้นำอิสอัค บุตรคนเดียวของตนไปถวาย เวลานั้นหัวใจของอับราฮัมคงเป็นทุกข์ที่สุด แต่ท่านยอมทำตามคำตรัสสั่งของพระเจ้า ด้วยความไว้วางใจในพระองค์ เมื่ออิสอัคถามว่า “มีไฟและฝืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน” อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ยพระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” (ปฐก.22:7-8) นี่เองคือความเชื่อของอับราฮัมในยามเผชิญความทุกข์ทรมาน
พระเจ้าจะทรงจัดหา หมายความว่า ถึงแม้พระเจ้าจะทรงให้เราแบกรับการทดลอง แต่ขณะเดียวกันเพระองค์ทรงจัดเตรียมกำลังให้เราเพื่อเราจะได้แบกรับการทดลองนั้นได้ ความเชื่อของเปาโลก็เช่นเดียวกัน ท่านบอกเราว่า “ท่านทั้งหลายไม่เคยเผชิญกับการทดลองใดๆ ที่เกินกำลังมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้ท่านถูกทดลองเกินกำลังของท่าน แต่เมื่อถูกทดลองพระองค์จะประทานความสามารถให้ท่านยืนหยัดมั่นคงและหาทางออกได้” (1 คร.10:13)
สรุปได้ว่าการที่เรามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเราสามารถผ่านการทดลองทุกอย่างในชีวิตได้ ถ้าเราไม่ผ่านการทดลอง หรือการทดลองต่างๆ เกินกำลังเรา เราก็คงจะมีชีวิตอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้ไม่ได้ การที่เรายังมีชีวิตอยู่ได้ พิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเรา พระองค์ประทับอยู่กับเรา ไม่มีชีวิตใดประเสริฐไปกว่าชีวิตที่มีพระเจ้าผู้ทรงเชื่อมั่นในตัวเรา ผู้ไม่เคยทรงลืมหรือทรงทอดทิ้งเรา และทรงแสวงหาเรา ประทับอยู่ด้วย และนี่เองคือความเชื่อของพระศาสนจักร