สายตาของพระเจ้า
ยอห์น 5:31-47
“งานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เรากระทำจนสำเร็จ งานที่เรากำลังกระทำอยู่นี้เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาได้ทรงส่งเรามา” ตรงนี้เป็นคำตรัสยืนยันของพระเยซูว่าพระบิดาได้ทรงส่งพระองค์มา และงานที่ทรงกำลังกระทำอยู่ก็เป็นงานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้พระองค์ทรงกระทำ
เมื่อมนุษย์เราพูดถึงการเกิดมาในโลก เรามักพูดกันว่าเราเกิดมาในโลกนี้เหมือนกับเราเกิดมาเองไม่มีที่มาที่ไป แต่สำหรับเราถ้าใช้คำพูดว่า “พระเจ้าทรงทรงส่งเรามาในโลกนี้” อย่างพระเยซู คงจะทำให้เราเข้าใจถึงความหมายและภาระหน้าที่ของการเป็นมนุษย์ได้ดีกว่าการพูดเพียงว่า “เราเกิดในโลกนี้” และถ้าเราเข้าใจว่าพระบิดาทรงส่งเรามา เราก็รู้ด้วยว่าเรามีที่ๆ จะกลับไป นั้นคือบ้านของพระบิดา ซึ่งเป็นบ้านแท้จริงและเป็นบ้านนิรันดรของเรา
พระเยซูทรงมีพระบิดาเป็นผู้รับผิดชอบทุกสิ่งในชีวิตของพระองค์ เราก็เช่นเดียวกัน การที่เรามีชีวิตอยู่จึงหมายถึงการเป็นพยานว่าพระเจ้าประทับอยู่กับเรา ทรงอยู่ในจิตใจของเรา นักบุญเทริโทอานุส บอกว่า “การมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ คือพระเกียติของพระเจ้า”
ความจริงพระเจ้าไม่ทรงต้องการสิ่งใดจากมนุษย์เลย พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ต้องการคำยืนยันจากมนุษย์” (ยน.5:34) “เราไม่ต้องการเกียรติจากมนุษย์” (ยน.5:41) พระเกียรติของพระเจ้าคือการที่พระองค์ประทานทุกอย่างแก่มนุษย์ มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ด้วยความรัก ความยินดีเหล่านี้เป็นต้น คือพระเกียติของพระเจ้า นักบุญเทริโทลิอานุส บอกอีกด้วยว่า “ชีวิตมนุษย์คือ การมองดูพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า “พระองค์โปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม” (มธ.5:45) ยิ่งเราพยายามเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐานภาวนาอย่างลึกซึ้ง เราก็ยิ่งละทิ้งความคิดแบ่งแยกคนเป็นคนดี คนชั่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์มองด้วยสายตาของการเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง หรือใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นมาตรวัด
ยิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราก็ยิ่งมีสายตาเหมือนพระองค์มากขึ้น เราจะมองเห็นพระเจ้าในทุกคน และเราเข้าใจได้ว่าแต่ละคนคือผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา เขาล้วนมีพระเจ้าอยู่ภายใน ความชั่วที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพียงผลจากสภาพแวดล้อม ที่เขาจำเป็นต้องซึมซับเข้าไปเพราะเขาช่วยตัวเองไม่ได้
การมองดูทุกคนด้วยสายตาของพระเจ้า ทำให้เราสามารถละทิ้งการพิพากษาตัดสินว่า ใครดี ใครชั่ว ช่วยจำกัดความคิดแบบเห็นแก่ตัวและความอิจฉาริษยาให้หมดไปได้ด้วย